Our score
8.7

Samsung Galaxy Z Flip6

สมาร์ตโฟนรุ่นพับเล็กของซัมซุงในปี 2024 ที่เรียกได้ว่าพัฒนามาเยอะ ทำอะไรได้มากกว่าเดิมจนใช้เป็นเครื่องหลักได้แล้ว

สมาร์ตโฟนจอพับได้นั้นพัฒนามากขึ้นทุกวัน รวมไปถึง Samsung เอง ที่ได้ออก Samsung Galaxy Z Flip มานานกว่าแบรนด์อื่น ๆ จนได้ออกมาเป็น Samsung Galaxy Z Flip6 เครื่องนี้ และแม้ว่า Samsung Galaxy Z Flip6 จะมีการเปลี่ยนแปลงแค่เพียงเล็กน้อยในระดับ Minor Change แต่ Samsung Galaxy Z Flip6 แทบจะเรียกได้ว่าเป็นตัวอย่างของการทำสมาร์ตโฟนจอพับที่ดีอีกรุ่นหนึ่งเลย แล้วสิ่งที่เปลี่ยนไปนั้น จะสามารถใช้งานจริงได้มากน้อยเพียงใด เรามาหาคำตอบไปพร้อมกัน !

จุดเด่น

  1. เพิ่มกล้องถ่ายภาพหลักเป็น 50 ล้านพิกเซลเป็นครั้งแรก
  2. ความเป็นสมาร์ตโฟนจอพับได้สามารถใช้งานได้จริง และเป็นตัวเองได้มากกว่าเดิม
  3. เพิ่ม Vapor Chamber เป็นครั้งแรก ให้ใช้ชิปเซต Snapdragon 8 Gen 3ไ้ดดีมาก
  4. ดีไซน์รอบตัวเครื่องที่ดูพรีเมียมทั้งหน้าตาและการสัมผัส
  5. ในที่สุดก็กันน้ำกันฝุ่นผ่านมาตรฐาน IP48 แล้ว

จุดสังเกต

  1. กล้องหน้าจอในยังคงความละเอียด 10 ล้านพิกเซลอยู่ แต่ใช้กล้องจอนอกแทนได้
  2. หน้าจอยังยังมีรอยพับอีกพอสมควร
  3. ตัวเครื่องยังเกิดความร้อนสูงถ้าใช้งานหนัก ๆ (แต่ระบายความร้อนได้เร็วอยู่)
  4. รองรับ Codec เสียงน้อย เหมาะใช้ SSC กับ Galaxy Buds หรือ LDAC สำหรับหูฟังอื่น ๆ
  5. ยังคงไม่แถมหัวชาร์จมาให้ (เส้นแต่จะมีโปรโมชัน)
  • หน้าจอ

    9.5

  • กล้อง

    9.0

  • แบตเตอรี่

    8.0

  • เสียง

    9.0

  • ประสิทธิภาพ

    9.0

  • ดีไซน์

    8.5

  • ความคุ้มค่า

    8.0

แม้ผู้เขียนจะได้รีวิวสมาร์ตโฟนมามากมาย แต่สมาร์ตโฟนพับได้ก็ไม่เคยได้เป็นสมาร์ตโฟนเครื่องหลักเลยครับ แม้ผู้เขียนจะได้ใช้แต่สมาร์ตโฟนรูปทรง Candy Bar มาเป็นหลัก แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสมาร์ตโฟนจอพับได้นั้นได้รับการพัฒนามาอย่างหนักหน่วงในหลายด้านมาก ๆ จนมีคนใช้เป็นสมาร์ตโฟนเครื่องหลักมาแล้วก็ตั้งมากมาย และสมาร์ตโฟนพับได้ในปัจจุบันนั้นก็แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก นั่นคือแบบ Fold ก็คือพับขนาดจอใหญ่ ๆ เกือบเหมือนแท็บเล็ตให้เป็นสมาร์ตโฟน Candy Bar และแบบ Flip ที่พับสมาร์ตโฟนแบบ Candy Bar ให้เหลือครึ่งเดียวเพื่อให้ใส่กระเป๋าเสื้อได้ง่าย ๆ

ซึ่ง Samsung เองก็คือ 1 ในผู้เล่นคนแรก ๆ ที่ได้เข้าตลาดสมาร์ตโฟนพับได้นี้ ด้วย Samsung Galaxy Z Fold และ Z Flip จนผ่านเลยเวลายาวนานมาถึงรุ่นที่ 6 แล้วของทั้ง 2 รุ่น แม้โดยผิวเผิน การเปลี่ยนแปลงจากในรุ่นที่แล้วแทบจะสังเกตไม่ได้เลย ปีนี้อาจจะเป็น Minor Change ของทั้ง 2 รุ่นนี้ด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่แก้ไขมานั้นถือว่าทำได้ดีไม่น้อย จากที่เราได้เห็นในรีวิว Samsung Galaxy Z Fold6 ที่ผ่านมา

แต่ว่า ในนั้นเราได้เห็นแค่ความดีงามของ Samsung Galaxy Z Fold6 ไปเท่านั้น บทความนี้จะพาทุกคน (รวมถึงตัวผู้เขียนเอง) เข้าสู่โลกของการใช้งาน Samsung Galaxy Z Flip6 แบบจริงจัง หลังจากที่ใช้เป็นเครื่อง 2 ต่อเนื่องมานานเกือบ 2 สัปดาห์ ว่าจนถึงตอนนี้มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไป และให้ความรู้สึกในการใช้งานแบบใดกันบ้าง

สเปกของ Samsung Galaxy Z Flip6

  • หน้าจอด้านใน: Dynamic AMOLED 2X ขนาด 6.7 นิ้ว LTPO รีเฟรชเรต 1-120Hz แบบพับได้ ความละเอียด 2640 x 1080 (FHD+) สว่างสูงสุด 2,600 Nits
  • หน้าจอด้านนอก: Super AMOLED ขนาด 3.4 นิ้ว ความละเอียด 748 x 720 (HD+) สว่างสูงสุด 1,600 Nits
  • ชิปเซต Qualcomm Snapdragon 8 Gen 3 รองรับ 5G
  • หน่วยความจำขนาด 256GB, 512GB
  • RAM: 12GB
  • กล้องหลัง 2 ตัว ประกอบไปด้วย
    • กล้องหลักความละเอียด 50 ล้านพิกเซล (f/1.8) เซนเซอร์ Samsung ISOCELL GN3
    • กล้องเลนส์ Ultra-Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (f/2.2) เซนเซอร์ Samsung ISOCELL S5K3LU
  • กล้องหน้าขนาด 10 ล้านพิกเซล (f/2.2) เซนเซอร์ Samsung ISOCELL S5K3J1
  • แบตเตอรี่ 4,000 mAh พร้อมชาร์จไว 25W (PD) และชาร์จไร้สาย (15W)
  • ซอฟต์แวร์ OneUI 6.1.1 (Based on Android 14)
  • การเชื่อมต่อ: รองรับ 5G, WIFI 6E, Bluetooth 5.3, USB-C 3.2
  • น้ำหนัก 187 กรัม
  • ผ่านมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น IP48
  • มีสีให้เลือก 4 สี ได้แก่ สีเงิน (Silver Shadow), สีเหลือง (Yellow), สีฟ้า (Blue) และสีเขียวมินต์ (Mint)
    • พร้อมสีเฉพาะสั่งซื้อออนไลน์ และผ่าน Samsung Experience Store: สีดำ (Crafted Black), สีขาว (White) และสีพีช (Peach)

ดีไซน์รอบตัวเครื่อง

ถ้าให้บอกสั้น ๆ หรือสัมผัสแรกของผู้เขียนแบบจริง ๆ เลย ต้องบอกว่า Samsung Galaxy Z Flip6 เครื่องนี้เกือบเหมือนเดิมเลยครับ คือมีความคล้ายกับ Z Flip5 ในระดับที่ว่า ถ้าไม่ได้เปลี่ยนตรงกรอบกล้องหลัง แล้วเอา 2 รุ่นนี้มาพับ วางเทียบกัน คือแยกไม่ออกแน่นอน จุดที่แตกต่างจริง ๆ จะไปอยู่ที่ขอบข้างเครื่อง ที่ทำสีของขอบให้เป็นไปตามสีเครื่อง และขัดขอบเครื่องให้เป็นแบบด้านเพิ่มเติม รวมไปถึงทำกระจกของฝาหลังเครื่อง (อีกด้านที่ไม่ใช่หน้าจอนอก) ให้เป็นแบบด้านไปด้วย แม้ว่าการเปลี่ยนตรงจุดนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนที่เรียกว่าน้อย (Minor Change) พอสมควร แต่ว่าการรู้สึกจับถือจริง ๆ กลับรู้สึกว่าเป็นการออกแบบที่ดูพรีเมียมมากยิ่งขึ้นกว่ารุ่นที่แล้ว อาจจะเพราะเป็นการทำดีไซน์แบบเน้นความด้าน ที่ทำให้ติดรอยนิ้วมือได้ยาก แล้วนอกจากนั้น ยังมีกรอบกล้องที่ทำเป็นวง ๆ เพื่อชี้ตำแหน่งกล้องแล้วด้วย (ที่แม้ผู้เขียนจะยังรู้สึกชอบแบบรุ่นที่แล้วอย่าง Galaxy Z Flip5 มากกว่าก็ตาม) แต่ในด้านสัมผัสการจับถือแล้วนั้น เรียกได้ว่าเหมือน Samsung มาถูกทางแล้วในด้านการทำดีไซน์ให้ดูพรีเมียมครับ

แต่ด้านเนื้อในหลัก ๆ (Core Element) ของดีไซน์แบบนี้ ยังคงมีความคล้ายเดิมอยู่ไม่น้อยครับ เช่นว่าตัวเครื่องอยู่ในรูปทรงที่ค่อนข้างเรียวยาว โดยเฉพาะตอนที่กางเครื่องจนสุด ที่ทำให้ตอนจับถือยังรู้สึกเอื้อมไปแตะด้านบนได้ค่อนข้างยากอยู่บ้าง แต่แลกมากับข้อดีที่ว่าพอสมาร์ตโฟนโดนพับและลดขนาดมาเหลือเท่าฝ่ามือแล้ว การจับถือ และใช้งานหน้าจอนอก 3.4 นิ้วนี้ถือว่าทำได้ง่ายขึ้นมาเลย หรือกระทั่งการวางพอร์ตและปุ่มกดต่าง ๆ ก็เหมือนเดิมกับในรุ่นที่แล้วเลย ซึ่งอยู่ในตำแหน่งที่ดี ไม่ว่าจะกางหรือพับอยู่ก็ตาม และอย่างสุดท้ายคือเรื่องของความหนาของตัวเครื่องครับ ที่ยังทำขนาดและความหนาของเครื่องได้คล้ายคลึงกับรุ่นที่แล้ว หมายความว่ามันหนาคล้ายกับการเอาสมาร์ตโฟน 2 เครื่องมาซ้อนกันอยู่ แต่โดยส่วนตัวก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรมากนักนะ

ดีไซน์บานพับของ Samsung Galaxy Z Flip6

แน่นอนว่าสมาร์ตโฟนจอพับ การที่มันจะพับได้นั้นต้องใช้วัสดุ หรือส่วนประกอบต่าง ๆ ของเครื่องที่มากยิ่งกว่าสมาร์ตโฟนแบบเดิม ๆ ที่เราเห็นกันอยู่แล้ว ซึ่ง Samsung ได้พยายามที่จะทำสิ่งนี้ให้เพอร์เฟ็กต์ (ในแบบของตัวเอง) ให้ได้มากที่สุดด้วยการดีไซน์บานพับที่แม้จะยังเป็นบานพับ Dew Drop Hinge อยู่ให้มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้นกว่าเดิม คำว่าแข็งแรงกว่าเดิมนั้นหมายถึงว่าเป็นการดีไซน์บานพับให้สามารถรับน้ำหนักที่มากขึ้นกว่าเดิม จนถึงขนาดกล้าเคลมว่าสามารถให้เอาของวางทับได้แล้ว รวมไปถึงได้เพิ่มความแน่นของการประกอบตัวเครื่องขึ้นมา ให้สามารถปิดแน่นจนผ่านมาตรฐานการกันน้ำกันฝุ่นที่ IP48 ได้ด้วย แปลว่าตัวเครื่องสามารถลงไปในน้ำได้ลึกสุดที่ 1.5 เมตร นานสุด 30 นาที และสามารถกันฝุ่นที่ขนาดใหญ่กว่า 1 มิลลิเมตรได้แล้วด้วย ความสามารถนี้คือครั้งแรกของฝั่งจอพับเลยก็ว่าได้ครับ

Samsung ไทยลองเอาเครื่องแช่น้ำและเปิดจอให้ดูเลยว่ากันน้ำจริง !

อีกของดีที่ตามมาแบบที่ไม่ต้องปรับอะไรมากนักสำหรับ Dew Drop Hinge นี้คือตัวเครื่องนั้นพับสนิทแบบสุด ๆ ครับ เพราะ Dew Drop Hinge จะทำการโค้งตัวจอลงไปด้านในตัวเครื่อง เพื่อให้ส่วนโค้งของจอที่โดนงอไปนั้นไปอยู่ด้านในบานพับแทน ทำให้ตัวเครื่องพับสนิทแบบสมมาตรกันได้นั่นเอง

ความแข็งแรงที่ว่านี้ยังรวมไปถึงการที่ตัวเครื่องสามารถกางและพับในแทบจะทุกองศาเลยก็ว่าได้ คือกางจนเกือบสุดแบบสุด ๆ บางครั้งก็ยังค้างไว้ได้ หรือจะพับลงไปจนเกือบสุดประมาณ 15 องศา ก็ยังคงค้างไว้ได้ เป็นความแข็งแรงที่แม้ปกติเราจะไม่ค่อยได้ใช้งานอยู่แล้ว แต่ก็ส่งผลให้การใช้งานในระยะที่เราใช้กันประจำ สามารถใช้ได้แบบที่ไม่มีปัญหาอะไรมากนักเรื่องการกางแล้วคว่ำ หรือหงายไปด้านใดด้านหนึ่งแน่นอน

เรื่องความแข็งแรงของจอพับนั้น จริง ๆ เราได้มีการพูดถึงในรีวิวของ Samsung Galaxy Z Fold6 ไปก่อนหน้านี้แล้ว พร้อมกับภาพบานพับของจริงที่ใส่ใน Z Flip6 ด้วยนะ

แต่นอกจากความสามารถด้านการกางและพับแล้ว บานพับที่แข็งแรงมากขึ้น กันฝุ่นได้ดีขึ้นนี้ยังคงส่งผลต่อหน้าจออยู่บ้างพอสมควรครับ แม้ว่าจากที่ JerryRigEverything ได้ทำการทดสอบ Samsung Galaxy Z Flip6 เครื่องขายจริงมาแล้ว พบว่าตัวเครื่องมีรอยพับที่ค่อนข้างน้อยกว่าเครื่องที่เราทดสอบกันอยู่ตอนนี้ แต่ก็ยังเห็นได้ชัดว่ายังคงมีรอยพับที่เกิดขึ้นตรงกลางหน้าจออยู่อีกพอสมควรเลย ซึ่งโดยส่วนตัวของผู้เขียนมองว่าเป็นเรื่องที่ ‘แล้วแต่คนชอบ’ จริง ๆ เพราะว่าตัวเครื่องที่บานพับดี ๆ แข็งแรง ต้องแลกมาด้วยจอที่มีรอยพับอยู่อีกพอสมควรเลย

ข้อดีอีกอย่างของการที่ดีไซน์ที่เกือบเหมือนเดิมนี้ก็คือเรื่องของ Flipsuit Case ครับ ที่สามารถใช้งานร่วมกับของ Samsung Galaxy Z Flip5 ได้เลย โดยที่ไม่ต้องเปลี่ยนอะไรใด ๆ เลย ใช้แผ่นเคสเดียวกันได้แบบแนบสนิทเหมือนเดิม

หน้าจอ

อีกอย่างที่ Samsung เคยบอกว่าบิดได้กระทั่งกฎแห่งฟิสิกส์ ก็คือหน้าจอครับ เพราะหน้าจอของ Samsung Galaxy Z Flip6 นั้นใช้หน้าจอเป็นกระจก Ultra Thin Glass เหมือนเดิมเลย โดยจากคลิปรีวิว Samsung Galaxy Z Fold6 นั้นได้บอกว่าตัวหน้าจอของ Z Flip6 มีการอัปเกรดความแข็งแรงของหน้าจอไปกว่า 4 ใน 5 ส่วนของตัวหน้าจอเลยทีเดียว เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้มากยิ่งขึ้น ตั้งแต่แผ่นเหล็กที่รองรับด้านในตัวจอ, แผงหน้าจอ OLED ด้านใน, กระจก Ultra Thin Glass ไปจนถึง PL หรือ Protective Layer ก็ได้อัปเกรดมาใหม่ด้วยเช่นกัน ทั้ง 5 ส่วนนี้เมื่อนำมาติดกันหมด จะทำให้ตัวหน้าจอของ Samsung Galaxy Z Flip6 เครื่องนี้สามารถพับเข้า – ออกได้อย่างแข็งแรงนั่นเอง ซึ่งจากที่ JerryRigEverything ได้ลองแยกส่วนออกดูทีละชั้นก็พบว่าตัวกาวที่ติดในแต่ละชั้นนั้นแน่นขึ้นจริง เพื่อให้สามารถพับเข้า – ออก และใช้งานได้เป็นเวลานานนั่นเอง

ทีนี้มาลองดูเรื่องของคุณภาพของหน้าจอจริง ๆ กันบ้างครับ โดย Samsung Galaxy Z Flip6 มาพร้อมกับหน้าจอ Dynamic AMOLED 2X ขนาด 6.7 นิ้ว LTPO ที่สามารถเล่นรีเฟรชเรตได้ตั้งแต่ 1-120Hz ความละเอียด 2640 x 1080 (FHD+) สว่างสูงสุด 2,600 nits ซึ่งว่ากันตรง ๆ แล้ว สิ่งที่พัฒนาขึ้นมาจากรุ่นที่แล้วจริง ๆ จะมีเรื่องของความสว่างเท่านั้นเอง ที่ได้เพิ่มมาจาก 1,750 nits มาเป็น 2,600 nits ซึ่งถ้าว่ากันตามสเปกของหน้าจอจริง ๆ แล้วนั้น ไม่ได้มีความแตกต่างมากนักเลย

แต่ถ้าว่ากันด้วยประสบการณ์การใช้งานจริง ๆ แล้ว หน้าจอของ Z Flip6 นั้นเป็นหน้าจอที่ทำสีและความคมชัดได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียวครับ ด้วยการที่หน้าจอนั้นสามารถแสดงผลสีของภาพได้ออกมาไม่ได้ซีดจนออกมาเรียลมาก ๆ แบบใน Samsung Galaxy S24 Series แต่ก็ไม่ได้ออกมาสดเด้งจนมากเกินไปแบบที่เราเห็นในสมาร์ตโฟนของ Samsung รุ่นก่อน ๆ นะ แต่สามารถแสดงผลภาพออกมาได้ดูดี ดูสบายตา และสามารถใช้งานได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว ส่วนเรื่องของรอยพับนั้น อาจจะยังเห็นอยู่ค่อนข้างมากในเครื่องที่เราทดสอบกัน โดยเฉพาะตอนที่แสดงผลสีดำ หรือปิดหน้าจออยู่ แต่ก็ไม่ได้มีปัญหามากนักหากเราใช้งานบ่อย ๆ เข้า ก็รู้สึกชินไปได้เหมือนกัน ถ้าเกิดว่าเปิดหน้าจอเป็นเวลานาน ๆ

หน้าจอตอนปิดอยู่ จะเห็นรอยพับได้ชัดเจนกว่า

และด้วยความที่นี่คือสมาร์ตโฟนจอพับได้ เราก็สามารถพับหน้าจอให้อยู่ในแนวตั้งเพื่อให้ใช้งานได้สะดวกเวลาตั้งอยู่บนโต๊ะก็ทำได้ง่าย ๆ แบบที่ไม่ต้องใช้ขาตั้งใด ๆ เลย เพียงแต่ว่า การใช้การพับครึ่งหนึ่งเพื่อดูคอนเทนต์ต่าง ๆ นั้นอาจจะยังมีอุปสรรคอยู่บ้าง​ โดยเฉพาะขนาดจอที่ถูกหั่นครึ่งลงจนเหลือแค่ประมาณ 3.4 นิ้วเท่านั้น จะยิ่งทำให้การจ้องเนื้อหาที่ยิ่งโดนครอปด้านบน – ล่าง ลงไปอีก ยิ่งออกมาดูเล็กเข้าไปใหญ่เลย

หน้าจอนอกที่ใช้งานได้จริง (เหมือนเดิม)

ตั้งแต่สมัย Samsung Galaxy Z Flip5 เป็นต้นมา ฟีเจอร์ของหน้าจอนอกนั้นเรียกได้ว่าให้มาเยอะ จนแทบจะแยกออกมาเป็นอีกหัวข้อได้เลย ทำให้เพื่อความชัดเจน เลยอยากขอพูดถึงหน้าจอนอกของ Samsung Galaxy Z Flip6 เครื่องนี้บ้าง ด้วยหน้าจอนอกขนาด 3.4 นิ้ว Super AMOLED ความละเอียด 748 x 720 (HD+) ที่เอาจริง ๆ คือแทบจะเท่าเดิมเลยก็ว่าได้ คือเท่าเดิมไปจนถึงตัวติ่งของหน้าจอที่ยังคงเว้นเอาไว้ด้านล่างแค่เล็กน้อยอยู่ดีด้วย ! ซึ่งแม้หลาย ๆ คนจะมองว่าไม่สวย แต่ผู้เขียนมองว่าการดีไซน์ที่เหมือนของเดิมมาก ๆ แบบนี้มีข้อดีอยู่ 2 อย่างครับ

อย่างแรกก็คือ การที่มีหน้าจอสี่เหลี่ยมมุมมนและมีติ่งอีกเล็กน้อยนี้ คือการทำให้นี่เป็นสัญลักษณ์ของ Samsung Galaxy Z Flip ไปแล้ว ว่าจะต้องมีหน้าจอประมาณนี้ เพราะไม่มีเจ้าอื่นทำกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่สมาร์ตโฟนพับได้แบบ Flip รุ่นอื่น ๆ ที่ทำหน้าจอเต็มทั้งหมดขาดหายไป คือเรื่องของตัวตนนั่นเอง อีกประการก็คือ การที่มีติ่งเล็กน้อยของหน้าจอนั้น สามารถใช้เพื่อเป็นที่แสดงแคปซูล ที่หน้าตาแอบคล้าย Dynamic Island อยู่ไม่น้อย แต่สามารถแสดงได้หลายอย่างมาก เช่นการแจ้งเตือนของแอปฯ แชต เช่น Messenger หรือแสดงเพลงที่กำลังเล่นอยู่ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ทันทีเลย หรือกระทั่งแถบกลับหน้าจอหลัก ที่ใช้เป็นปุ่มนำทางให้กับหน้าจอนอก ก็เอาไว้ตรงแคปซูลนี้เหมือนกัน ทั้ง 2 ข้อดีนี้ โดยส่วนตัวแล้วถือว่ามากพอที่จะให้มีติ่งอยู่ต่อไปได้นะ

แถมยังดูแจ้งเตือนได้เต็มตา ครบถ้วนกว่าเดิมอีกด้วยนะ

ส่วนฟีเจอร์ที่มีอยู่ในหน้าจอนอกที่เยอะกว่าเดิมนั้น เริ่มจากการตกแต่งหน้าจอหลักด้านนอกกันก่อนเลย คือด้วยการ Customization ที่มีให้เยอะมาก ๆ มาตั้งแต่ใน Z Flip5 แล้วนั้น ทำให้ใน Z Flip6 ก็ต่อยอดของเก่าจากเดิมใน Z Flip5 มาอีกพอสมควร เช่น Interactive ที่สามารถใช้อิโมจิมาใส่ไว้ตรงกลางหน้าจอ แล้วพอเรากดดูหน้าจอล็อก อิโมจิก็จะหล่นลงมาให้เราลากไปมาได้ แบบน่ารัก ๆ เพียงแต่ว่าในตอนนี้ยังสามารถใช้ได้แค่ 5 แบบ และอิโมจิในนั้นจะถูกล็อกไว้ตามที่กำหนดเท่านั้น

อีกรูปแบบหนึ่งก็คือ Photo Ambient ที่จะให้เราเอารูปถ่ายที่เรามีอยู่แล้ว มาตั้งหน้าจอนอก จากนั้นก็จะให้ AI แปลงภาพนั้นให้เป็นไปตามสภาพอากาศ และเวลา อย่างเช่น ถ้าตอนนี้ฝนกำลังตก ภาพนั้นก็จะมีเอฟเฟกต์ฝนตกอยู่บนจอ ซึ่งเปลี่ยนไปตามสภาพอากาศจริง ๆ ณ ขณะนั้นได้ ซึ่งแม้ในประเทศไทยน่าจะได้เห็นกันแค่ฝนตก และแบบปกติก็ตาม แต่ถ้าเป็นต่างประเทศที่มีหิมะ ภาพเหล่านั้นก็จะมีหิมะตกใส่ภาพได้ด้วย

ถ้าฝนตกหน้าน้องจะเปียกเลยนะ แต่ตอนที่ถ่ายยังฝนไม่ตก 😭

นอกจากนั้น ฟีเจอร์หน้าจอนอกที่สามารถตั้งค่าได้หน้าละอย่าง เช่น สภาพอากาศ, อัดเสียง, จับเวลา, เครื่องคิดเลข ตอนนี้สามารถตั้งค่าให้แสดงรวมกันในหน้าเดียวได้แล้วด้วยระบบ Widget แทนที่จะเป็นทั้งหน้า แปลว่าการจะใช้แต่ละอย่างในนี้ ก็จะไม่ต้องลากไปไกลอีก จำนวนหน้าที่เปิดดูได้ก็จะน้อยลงไปด้วย

หรือการใช้งานแอปฯ อื่น ๆ ในหน้าจอนอก ตอนนี้ก็สามารถแสดงผลได้ครบทุกแอปฯ แล้ว โดยการใช้ GoodLock ซึ่งเป็นแอปฯ ที่ใช้เพื่อปรับแต่ง Samsung Galaxy รุ่นใหม่ ๆ ให้ลึกยิ่งกว่าเดิมมาก ๆ โดยถ้าเราใช้ฟีเจอร์​ MultiStar ก็จะมีหน้าจอแยกไว้ให้เราสามารถเพิ่ม Launcher Widget ที่จะให้เราเลือกแอปฯ ที่อยากจะเอาไว้ในหน้าจอนอกได้เลย โดยที่ไม่ได้จำกัดแค่แอปฯ ใดแอปฯ หนึ่ง และสามารถใช้งานได้ทุกแอปฯ แบบที่ตัวแอปฯ จะเรียงหน้าตาของเครื่องไว้ตามขนาดของหน้าจอเรียบร้อยแล้วเช่นกัน แม้บางแอปฯ จะยังมีบั๊กอยู่บ้าง แต่สามารถใช้งานได้เกือบ 100% แน่นอน เพียงแต่ถ้าว่ากันตรง ๆ นอกจากความเป็นกิมมิกแล้ว มีอยู่น้อยแอปฯ มาก ๆ ที่เราอยากจะใช้ในหน้าจอนอก อาจจะแค่แอปฯ แชตบางแอปฯ การตั้งค่า หรืออาจจะเป็นแอปฯ ฟังเพลงเท่านั้น ที่เราอยากจะเข้าไปกดดูเพลง หาเพลง หรืออื่น ๆ แบบเร็ว ๆ โดยไม่ต้องกางหน้าจอออก เพราะการเล่นโซเชียลมีเดียบนหน้าจอนอกนั้นถือว่าทำได้ค่อนข้างลำบากเลยทีเดียว แต่ทำได้นะ !

‘Galaxy AI’ แบบเฉพาะรุ่น เฉพาะกาล

แน่นอนว่า Samsung Galaxy Z Flip6 ได้เปิดตัวมาพร้อมกับ Samsung Galaxy Z Fold6 และก็ได้มีฟีเจอร์ Galaxy AI ที่ให้ความสามารถเท่ากันทั้ง 2 รุ่นแบบครบถ้วนด้วย โดยไม่มีฟีเจอร์ไหนที่ขาดหายไปเลย ทั้งเรื่อง Sketch to Image ที่วาดภาพบนรูปเดิม หรือใน Samsung Notes ก็ให้ AI เจนภาพออกมาเป็นแบบที่เราต้องการได้ หรือจะเป็น Portrait Studio ที่จะเปลี่ยนหน้าของเราให้เป็นภาพโปรไฟล์สไตล์ต่าง ๆ ที่เหมาะนำไปตั้งภาพโปรไฟล์ หรือเอาไว้ทำส่งให้กับคนอื่น ๆ ก็ได้

น้องแมวที่ AI วาดมาให้ตามที่เรากำหนดไว้ แม้จะวาดออกมาดูแปลก ๆ AI ก็ยังดูออกได้ !

หรือ ‘Composer’ ที่จะให้เราใช้ Samsung Keyboard ในการสร้างคำขึ้นมาจากสิ่งที่เราให้ไอเดียหลัก ๆ เอาไว้

หรือจะเป็นการใช้ Interpreter ในโหมดฟัง และโหมดแสดงผลที่จอนอกเพื่อสื่อสารกับคนอื่นได้ง่ายยิ่งขึ้น ก็ทำได้ใน Samsung Galaxy Z Flip6 เหมือนกัน แต่ที่พิเศษที่เพิ่มเข้ามาคือ สามารถให้ AI ช่วยแนะนำคำตอบที่จะให้เราพิมพ์ตอบในแชตได้ แต่จากที่ลองมา สำหรับภาษาไทยนั้นยังคงต้องพัฒนาอีกพอสมควรเลยทีเดียว เพราะยังไม่สามารถตอบได้ดีมากนัก

ส่วนฟีเจอร์ Galaxy AI อื่น ๆ ที่เคยมีมาใน Samsung Galaxy S24 Series นั้น ก็ได้ใส่มาใน Samsung Galaxy Z Fold6 และ Z Flip6 แบบครบถ้วนทั้งหมดแล้วเช่นเดียวกัน ที่แม้ว่าจะมีบางฟีเจอร์ที่ได้ใช้จริง ๆ บ่อย ๆ เช่น Circle To Search หรือ Interpreter แต่บางฟีเจอร์ก็ได้ใช้งานน้อยเช่นกัน อย่าง Call Assist ที่อาจจะยังตอบสนองช้าบ้าง หรือโอกาสที่คนไทยจะได้ใช้คุยโทรศัพท์กับชาวต่างชาติยังมีน้อยบ้าง เป็นต้น

กล้องถ่ายภาพ

อีกอย่างที่ได้มีการอัปเกรดจากในรุ่นที่แล้วแบบชัดเจนมาก ๆ คือเรื่องของกล้องครับ เพราะ Samsung Galaxy Z Flip6 นั้นมาพร้อมกับกล้องถ่ายภาพหลักที่ความละเอียด 50 ล้านพิกเซลแล้ว โดยได้อัปเกรดไปใช้เซนเซอร์ Samsung ISOCELL GN3 ซึ่งเป็นเซนเซอร์ตัวเดียวกับที่เห็นกันใน Samsung Galaxy Z Fold6 เลยทีเดียว ซึ่งการทำงานของเซนเซอร์ใหม่นี้ ก็ได้ทำงานร่วมกันกับชิปเซตเรือธง Qualcomm Snapdragon 8 Gen 3 ด้วย เดี๋ยวเรามาลองดูภาพถ่ายจากกล้องหลักที่อัปเกรดมาแล้วนี้กันก่อนเลย

ซึ่งคุณภาพของภาพนั้นเรียกได้ว่าเป็นภาพถ่ายที่ค่อนข้างสมเรือธงมากกว่าเดิมอยู่พอสมควรเลยครับ ทั้งในด้านความคมชัดที่ดีขึ้นด้วยการใช้ Pixel Binning ที่มากขึ้น สีที่ออกมาดูสวยงาม ดูดีพอสมควร หรือกระทั่ง Noise ของภาพที่ลดลงไป แถมยังสามารถใช้การครอปเลนส์หลักที่ 2x เพื่อถ่ายให้ได้ระยะที่เหมาะสมกับบางอย่างที่เราอยากถ่าย หรือแค่อยากซูมเข้า ให้ออกมาดูดีเพราะใช้การซูมแบบไม่เสียความละเอียดได้ดีด้วย จากเดิมที่เลนส์หลัก 12 ล้านพิกเซล แค่ซูมก็ต้องลดความละเอียดลงไปแล้ว เรียกว่าเป็นการแก้ปัญหาจุดที่มีคนต้องการให้แก้มากที่สุดเลยนั่นเอง โดยปกติแล้วบางวัตถุไม่ค่อยเหมาะที่จะถ่ายแบบ 1x และเข้าใกล้ แต่ถ่ายแบบ 2 เท่าแล้วจะดูดีกว่า ก็ทำได้แบบไม่ต้องกลัวว่ามันจะเสียความละเอียดไปเลย

กล้องถ่ายภาพมุมกว้างมาก และการซูม

ส่วนกล้องถ่ายภาพมุมกว้างมาก เหมือนจะยังคงใช้กล้องถ่ายภาพที่ความละเอียด 12 ล้านพิกเซลเท่าเดิมเลย คุณภาพของภาพที่ถ่ายได้ก็ไม่ได้มีสีสันที่ออกมาห่างกับในกล้องถ่ายภาพหลักมากนัก แต่จะมีปัญหาเรื่องของ Noise ของภาพที่อาจจะเยอะกว่ากล้องถ่ายภาพหลักอยู่พอสมควรเลย แต่ถ้าอยู่ในสภาพแสงที่ดีมากพอ ก็สามารถถ่ายออกมาได้คล้ายกันมากอยู่เลยทีเดียว ลองดูภาพเทียบกันดูได้

ที่จะน่าเสียดายหน่อยก็คือเรื่องกล้องถ่ายภาพซูมนี่แหละ แม้ว่าเลนส์หลักจะสามารถถ่ายซูมแบบไม่เสียรายละเอียดได้ 2x แต่ด้วยความเป็นสมาร์ตโฟนจอพับ การวางกล้องในเครื่องก็เป็นเรื่องที่ยากไม่น้อยเหมือนกัน เลยทำให้การถ่ายภาพซูมจะใช้แค่การครอปกล้องถ่ายภาพหลักล้วน ๆ เลย ทำให้การถ่ายภาพซูมได้สูงสุดแค่ 10 เท่าเท่านั้น โดยระยะหวังผลสามารถทำได้อยู่ที่ประมาณ 4 เท่าตามที่ Samsung แนะนำให้กดซูมได้ ซึ่งถือว่าไม่น้อยเลยทีเดียว ด้วยการประมวลผลภาพหลังกดถ่ายของ Samsung เองนี่แหละ ซึ่งด้านล่างนี้จะมีภาพถ่ายที่ระยะ 0.6x, 1x, 2x, 4x และ 10x ตามลำดับ

ภาพถ่ายบุคคล

เรื่องการถ่ายภาพบุคคล เรียกได้ว่าเป็นการอัปเกรดที่ใหญ่ที่สุดของฝั่งกล้องถ่ายภาพใน Z Flip6 เลยก็ว่าได้ เพราะว่าการอัปเกรดกล้องถ่ายภาพมาเป็นกล้องความละเอียดสูงขึ้น ทำให้สามารถถ่ายภาพบุคคลได้ดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ่ายที่ระยะ 2x หรือประมาณ 50 mm. ซึ่งเป็นระยะที่ค่อนข้างเหมาะสมมาก ๆ สำหรับการถ่ายภาพ Portrait โดย Galaxy Z Flip6 ก็เลือกที่จะให้ครอปกล้องถ่ายภาพหลักเพื่อถ่ายภาพบุคคลที่ 2x ได้แล้วด้วยเช่นกัน

ซึ่งสกินโทนที่ได้จากการถ่ายภาพบุคคลมา (โดยเฉพาะการถ่ายภาพคอสเพลย์ในงาน CAF 2024 ที่ผ่านมานี้) ก็พบได้เลยว่าถ่ายภาพบุคคลออกมาได้ออกมาดีเลยทีเดียว ทั้งในด้านสกินโทน การเบลอฉากหลัง การเก็บความละเอียดของตัวภาพ ทำออกมาได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว ซึ่งระยะ 2x นั้นทำให้ตัวภาพบุคคลออกมามีมิติได้ดีขึ้นไม่น้อยเลย เพียงแต่ว่าอาจจะไม่สามารถถ่ายภาพบุคคลในระดับ Bust Up หรือ Medium Shot ได้โดยง่ายนักนะ ต้องเข้าใกล้อีกพอสมควรเลยทีเดียว

นอกจากนั้น ฟีเจอร์ใหม่ที่เพิ่มเข้ามาใน Z Flip6 รุ่นนี้คือฟีเจอร์การซูมอัตโนมัตินี่แหละครับ ที่แค่เปิดกล้องถ่ายภาพผ่านหน้าจอนอก และกดเปิดโหมด Auto Zoom ที่จะซูมกล้องแบบอัตโนมัติถ้าเราถอยห่างออกจากเครื่อง โดยที่เราไม่ต้องกดเองใด ๆ เลย กล้องเห็นภาพเราที่อยู่ไกลเกินก็ซูมได้เลย ซึ่งจะเหมาะมาก ๆ กับสายเที่ยวที่อยากถ่ายภาพคู่กับสถานที่นั้น ๆ โดยแค่วางเครื่องไว้ก็ถ่ายได้เลย แถมเข้าใกล้ให้อัตโนมัติด้วย จะมีปัญหาแค่ว่า โหมดนี้จะเปิดได้ต้องใช้โหมดกล้องธรรมดาเท่านั้น ใช้กับโหมดกล้องถ่ายภาพบุคคลไม่ได้นะ

แค่กดปุ่มสีเหลืองตรงนี้ ก็จะซูมเข้า-ออกจากภาพได้แบบอัตโนมัติตามระยะของตัวเราเลย

ทั้งนี้ รวม ๆ แล้ว การที่กล้องถ่ายภาพสามารถถ่ายภาพบุคคลออกมาได้คมชัดและสีสวยแบบนี้ จะนำไปสู่การถ่ายภาพเซลฟีด้วยกล้องที่ดีที่สุดในเครื่อง นั่นคือกล้องหลังนี้เอง

เซลฟี

มาว่าถึงกล้องถ่ายภาพเซลฟีนั้น การที่ Samsung Galaxy Z Flip6 สามารถพับได้นั้น นำไปสู่การถ่ายเซลฟีที่ออกมาคมชัดกว่ารุ่นอื่น ๆ ขึ้นมาได้เลยทันที ด้วยการใช้กล้องหลักในการถ่ายเซลฟีนี่แหละครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหน้าจอนอกยิ่งใหญ่ขึ้นมา ทำให้เราสามารถถ่ายภาพบุคคลเซลฟีได้สวยแน่นอน เพราะใช้กล้องถ่ายภาพหลักในการถ่ายครับ

ตัวอย่างภาพเซลฟีจากกล้องถ่ายภาพหลัก

โดยถ้าเราใช้กล้องหลังถ่าย ก็ยังสามารถถ่ายได้ทั้งแบบ 1 เท่า และ 2 เท่าเลยครับ เพียงแต่ว่าการถ่ายที่ 2 เท่านั้นจะมีการซูมครอปเข้าไปค่อนข้างมาก และทำให้การถ่ายเซลฟีกล้องหลังนั้นทำได้ยากขึ้น ภาพที่ออกมาจะใกล้เคียงกับการเซลฟีที่ครอปเหลือแค่ส่วนหน้า ยาวลงมาถึงไม่เกินส่วนคอ เพราะแขนเรายื่นไม่ถึงนั่นเอง (แม้แขนของผู้เขียนจะยื่นออกมาสุดมากแล้วก็ตาม)

แต่เราก็ยังคงมีกล้องด้านในจอ ที่แม้จะความละเอียดอยู่ที่ 10 ล้านพิกเซลเท่านั้น แต่ก็ยังพอที่จะสามารถใช้งานเป็นกล้องเพื่อวิดีโอคอลพอได้อยู่นะ แต่เอาจริง ๆ แล้ว สำหรับสมาร์ตโฟนที่เรตราคาเท่านี้ การให้กล้องหน้าความละเอียด 10 ล้านพิกเซลนั้นถือว่าน้อยอยู่พอสมควรเลยครับ แม้จะเป็นกล้องที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน และสามารถกล้องถ่ายภาพหลักแทนได้ก็ตาม แต่ความแตกต่างระหว่างทั้ง 2 กล้องนี้ ถือว่ามีอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว โดยเฉพาะตอนถ่ายภาพเซลฟีตอนกลางคืน ที่ผู้เขียนอยากแนะนำให้ถ่ายด้วยกล้องถ่ายภาพหลักที่อยู่ตรงหน้าจอนอกมากกว่า เพราะสามารถถ่ายออกมาได้ภาพที่ชัดเจนกว่า และเก็บความสว่างในภาพได้ดีกว่าด้วย

ภาพถ่ายกลางคืน

พูดถึงภาพถ่ายกลางคืนแล้วนั้น กล้องหลังทั้ง 2 กล้องสามารถถ่ายภาพตอนกลางคืนได้ค่อนข้างดีขึ้นอยู่พอสมควรเลยครับ โดยเฉพาะกล้องถ่ายภาพหลักที่สามารถเก็บแสงได้มากขึ้น ด้วยการใช้การรวมพิกเซล (Pixel Binning) ได้มากขึ้นเพราะกล้องมีความละเอียดที่มากขึ้นด้วยนั่นเอง โดยสามารถถ่ายได้เลยโดยไม่ต้องเปิดโหมดกลางคืนก่อน แต่ถ้าเปิดก็ไม่ได้มีความแตกต่างด้านความสว่างของภาพอย่างมีนัยสำคัญมากนักครับ ดังนั้นในตัวอย่างภาพนี้จึงมีแต่ภาพที่ได้จากโหมดกล้องถ่ายภาพธรรมดาแบบยกแล้วถ่ายเลยนั่นเอง

สเปก ประสิทธิภาพ และการเล่นเกม

ขึ้นชื่อว่าเป็นเรือธงพับได้มาตั้งหลายปี Samsung Galaxy Z Flip6 นั้นมาพร้อมกับชิปเซตระดับเรือธงจริง ๆ ด้วยชิปเซต Qualcomm Snapdragon 8 Gen 3 ที่ขึ้นชื่อว่าเป็น For Galaxy ที่มีการเร่ง Clock Speed มากกว่ารุ่นธรรมดาอีกเล็กน้อยด้วยนะ ซึ่งเอาจริง ๆ ก็เป็นชิปที่เร็วแรงที่สุดในปีนี้แล้ว (ก่อนที่ Qualcomm จะออก Snapdragon 8 Gen 4 ในอนาคตนั่นแหละครับ) และนี่เป็นครั้งแรกที่ Samsung Galaxy Z Flip ได้ใส่แรมขนาด 12GB ในทุกความจุ รวมไปถึงได้มีการเพิ่ม Vapor Chamber มาเป็นครั้งแรกอีกด้วย ปกติ Galaxy Z Flip จะใส่ได้แค่แผ่นกราไฟต์เท่านั้นเอง โดยในด้านการใช้งานทั่วไป ยังไงก็ไม่มีข้อกังขาแน่นอนอยู่แล้ว เพราะงั้นเรามาข้ามไปที่การทดสอบกันเลยดีกว่า

จากการทดสอบ CPU ด้วย Geekbench 6.3 นั้น สามารถทำคะแนน Single-Core ได้ที่ 1,926 คะแนน และคะแนน Multi-Core ได้ที่ 6,295 คะแนนครับส่วนการทดสอบ 3DMark แบบต่อเนื่องด้วยชุดการทดสอบ Wild-Life Stress Test นั้น สามารถทำคะแนนสูงสุดได้ที่ 9,764 คะแนน และต่ำสุดที่ 5,106 คะแนนครับ เอาจริง ๆ ก็ถือว่ามีความนิ่งของคะแนนที่ 52.3% แม้จะไม่ได้นิ่งมากนัก แต่ถือว่าทำได้ค่อนข้างโอเคแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบนสมาร์ตโฟนสาย Flip เช่นนี้ ในขณะที่การทดสอบชุดการทดสอบกราฟิกใหม่อย่าง Steel Nomad Light นั้นทำคะแนนได้ที่ 1,429 คะแนนครับ อาจจะไม่ใช่ตัวเลขที่สูงมาก แต่เป็นตัวเลขที่สูงแล้วสำหรับสมาร์ตโฟนเรือธงในปัจจุบันนี้ครับ

เอาจริง ๆ โดยรวม ๆ แล้ว ด้านผลการทดสอบนั้น ได้ผลเป็นตัวเลขที่สูงมาก ๆ สำหรับสมาร์ตโฟน และแม้จะไม่ได้สูงจนเท่ากับ Galaxy S24 Ultra แต่ก็ยังเป็นคะแนนที่สูงพอสำหรับการใช้งานที่ยาวนานอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อซัมซุงเคลมว่าจะให้การอัปเดตซอฟต์แวร์ของเจ้า Galaxy Z Flip6 นี้นาน 7 ปีเลยทีเดียว

ทีนี้ มาดูด้านการเล่นเกมกันบ้างครับ สำหรับชิปเซต Snapdragon 8 Gen 3 ที่ออกมาในปีนี้ สามารถทำประสิทธิภาพของเกมออกมาได้เป็นที่น่าพอใจมากเลยทีเดียว ดังนั้น แม้จะเข้ามาอยู่ในบอร์ดของสมาร์ตโฟนที่มีขนาดเล็กลงมาก รวมไปถึงมีการลดพื้นที่ของการวางบอร์ดเหลือครึ่งเดียวแบบใน Samsung Galaxy Z Flip6 รุ่นนี้ได้นั้นถือว่าทำได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว โดยจากการที่เราลองเล่น Genshin Impact แบบปรับสุดมา สามารถเล่นได้ที่เฉลี่ยประมาณ 45 – 50 FPS ครับ และจะมีเฟรมดรอปไปเหลือสัก 33 เฟรมบ้างเล็กน้อยตอนที่เจอการต่อสู้มาก ๆ และเครื่องเริ่มเกิดอาการร้อนครับ

ส่วนการเล่นเกม Zenless Zone Zero ซึ่งเป็นเกมใหม่จากค่ายเดียวกันกับ Genshin Impact นั้น ก็สามารถทำได้ดีไม่แพ้กันเลย โดยสามารถคงเฟรมเรตในทุก ๆ สถานการณ์ได้อยู่ที่ประมาณ 35 – 45 FPS ครับ โดยจะนิ่งที่เกือบ 60 ถ้าเกิดว่าอยู่ในเมือง หรือช่วงที่เล่นบนทีวีครับ แต่ไม่ได้ทำให้รู้สึกประสบการณ์ในการเล่นมีปัญหาอะไรนักนะ

ที่จะเห็นเป็นข้อสังเกตเล็กน้อยคือเรื่องของตัวแผ่นระบายความร้อน หรือ Vapor Chamber ที่ใส่เข้ามาใน Z Flip6 นั้น เป็นการวางแผ่นระบายความร้อนเอาไว้ที่ส่วนในสุดของตัวเครื่อง (เมื่อแกะเครื่องจากจอในมา) ซึ่งแม้จะเข้าใจได้ว่าเป็นการใส่เพื่อการระบายความร้อนไปด้านหลัง แต่ปัญหาจะอยู่ตรงที่ว่า เมื่อส่งความร้อนไปด้านหลังของตัวเครื่องแล้ว ส่วนที่จะโดนผลกระทบ และรับความร้อนเพื่อปล่อยออกนอกเครื่องมากที่สุดคือหน้าจอนอกครับ ดังนั้น เรียกได้ว่านี่เป็นข้อจำกัดเล็กน้อยสำหรับ Samsung Galaxy Z Flip6 รุ่นนี้

Vapor Chamber ที่เพิ่มเข้ามาใน Samsung Galaxy Z Flip6 (ซ้าย) เทียบกับ Galaxy Z Flip5 และ Galaxy S23 Ultra

ซึ่งจริง ๆ แล้ว การมี Vapor Chamber เข้ามาช่วยส่งความร้อนออกนั้น ถือว่าสามารถทำหน้าที่ออกมาได้ดีเลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การระบายความร้อนออกหลังจากที่เครื่องร้อนแบบสุด ๆ คือสามารถระบายออกไปได้เร็วมากจริง ๆ อย่างเช่นหลังจากการทดสอบ 3DMark Wild Life Stress Test ที่ความร้อนของ CPU นั้นพุ่งไปถึง 45 องศา แต่การปรับอุณหภูมิกลับมาที่เท่าเดิมนั้น สามารถทำได้รวดเร็ว สมกับที่มี Vapor Chamber แน่นอนครับ

แบตเตอรี่และการชาร์จ

อีกส่วนที่เพิ่มขึ้นมาไม่น้อยเลยก็คือเรื่องของแบตเตอรี่ครับ เพราะ Samsung Galaxy Z Flip6 นั้นมีการเพิ่มความจุแบตเตอรี่จากเดิมที่ 3,700 มิลลิแอมป์ เพิ่มขึ้นมาเป็น 4,000 มิลลิแอมป์แล้ว ซึ่งเป็นปริมาณที่เท่ากับใน Samsung Galaxy S24 เลยทีเดียว แม้จะมีการแบ่งแบตเตอรี่ออกเป็น 2 ก้อน โดยเอาก้อนเล็กไว้ด้านบนของตัวเครื่อง และก้อนที่ใหญ่กว่าไว้ด้านล่าง (โดยการแบ่งด้วยบานพับของเครื่อง) นั่นเองครับ ซึ่งการที่เครื่องมีแบตเตอรี่ที่ต่างจากสมาร์ตโฟนแบบแท่งปกตินั้น ย่อมส่งผลต่อการใช้งานแบตเตอรี่อยู่แล้ว และเป็น 1 ในส่วนที่ผู้เขียนเป็นห่วงที่สุดเลยด้วย

แต่จากการทดลองใช้งานจริงมานานกว่า 2 สัปดาห์ ผ่านช่วงที่แบตเตอรี่ได้ทำการเรียนรู้การใช้งานในแบบของซัมซุงมาแล้วนั้น ก็พบว่าสามารถใช้งานจริงได้ดีขึ้นกว่าเดิมไม่น้อยเลยครับ โดยสามารถใช้งานจนจบวันได้ในทุกวัน ไม่ว่าจะใช้มากหรือน้อย โดยในวันทำงานทั่ว ๆ ไปที่มีการเดินทางออกจากบ้าน เข้าออฟฟิศ (ต่อ Wi-Fi) และเดินทางกลับบ้าน แบตเตอรี่ของ Z Flip6 เครื่องนี้ไม่เคยหมดเลยครับ โดยจากการลองสังเกตการใช้งาน ในวันทั่ว ๆ ไป ที่ Screen On Time นั้นอยู่ที่ 2 ชั่วโมง 7 นาที ที่แม้จะเป็นตัวเลขที่น้อย แต่สามารถจำลองวันทั่ว ๆ ไปที่ใช้งานโดยทั่วไปได้ นั้นสามารถใช้งานยาวนานตั้งแต่ช่วง 9 โมงเช้า ถึง 3 ทุ่ม ได้แบบแบตเตอรี่เหลือ ๆ และไม่ต้องชาร์จแบตเตอรี่ระหว่างวันเลย เพียงแต่ว่า ต้องเข้าใจว่าแบตเตอรี่ตอนนี้นั้นอาจจะยังใช้ได้ไม่อึดมากในระดับ Power User แต่อย่างใดนะ แต่สำหรับคนทั่ว ๆ ไปแล้วนั้น ผมว่าเป็นปริมาณและระยะเวลาในการใช้ที่เพียงพอแล้วแน่นอน

ส่วนการชาร์จแบตเตอรี่กลับนั้น ยังสามารถทำได้ที่ 25W (PPS) เท่าเดิมเป๊ะ ๆ ครับ โดยเราสามารถใช้หัวชาร์จ PD ที่รองรับมาตรฐานการชาร์จที่มากกว่า 25W ขึ้นไปมาเสียบชาร์จให้ขึ้นระบบการชาร์จด่วนพิเศษที่ 25W ได้เลยแบบง่าย ๆ ครับ เพียงแต่ว่า หัวชาร์จแบตเตอรี่นั้นไม่ได้มีแถมมาให้ในกล่องนะครับ ซึ่งเป็นเรื่องของจังหวะและโอกาสเลยว่า เวลาเราซื้อเครื่องแล้วจะได้ของแถม ที่มักจะเป็นหัวชาร์จ 25W ของซัมซุงเอง เป็นหัวชาร์จแยกหรือไม่อย่างไร

สรุปส่งท้าย

สมาร์ตโฟนจอพับได้ผ่านการเดินทางที่ยาวนานมากครับ ยิ่งถ้าเรามองย้อนไปยังสมาร์ตโฟนพับแบบ Flip รุ่นแรกของ Samsung อย่าง Samsung Galaxy Z Flip นั้น ถือว่าได้มีการเปลี่ยนผ่านด้านการพัฒนาตัวเครื่อง ตั้งแต่ดีไซน์ ความสามารถ บานพับ กล้องถ่ายภาพ สเปกภายใน การจัดวาง Vapor Chamber แบตเตอรี่ หรือกระทั่งซอฟต์แวร์ภายในเครื่อง (โดยเฉพาะ Galaxy AI) นั้นถือว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว และแม้ว่านี่จะเป็นแค่รุ่นที่เปลี่ยนเล็กน้อย (Minor Change) แบบเลี่ยงไม่ได้ แต่ถือว่าใครที่ยังไม่ได้เข้าสู่วงการสมาร์ตโฟนจอพับนั้น ก็สามารถเข้ามาได้แบบไม่ต้องกลัวเรื่องปัญหาที่จะต้องเจอหลาย ๆ อย่างที่โดนแก้ไปแล้วในรุ่นนี้แน่นอนครับ

ปิดท้ายด้วยเรื่องของราคาครับ โดย Samsung Galaxy Z Flip6 นั้นวางจำหน่ายในประเทศไทยที่ 2 ความจุด้วยกันครับ โดย

  • รุ่นแรม 12GB รอม 256GB วางจำหน่ายในประเทศไทยที่ราคา 42,900 บาท
  • รุ่นแรม 12GB รอม 512GB วางจำหน่ายในประเทศไทยที่ราคา 47,900 บาท

ทั้งนี้ แม้ว่าราคานี้จะอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง แต่ซัมซุงนั้นก็ได้พยายามจัดโปรลดราคาด้วยการจัดโปร 3 ต่อ คือ

  1. ลดเพิ่มสูงสุด 7,000.- เมื่อนำเครื่องเก่ามาแลกใหม่ และใช้เครื่องเก่าเป็นส่วนลดเพิ่มเติม
  2. ฟรี Samsung Care+ 1 ปี ซึ่งเป็นประกันจอแตกและอุบัติเหตุ โดยจะเปลี่ยนอะไหล่ให้ในกรณีที่เครื่องได้รับความเสียหายใด ๆ ไป
  3. ส่วนลด 30% เพื่อแลกซื้อ Galaxy Watch และ Galaxy Buds เมื่อซื้อพร้อมกันกับตัวเครื่อง

ซึ่งใครที่สนใจ ก็สามารถเข้าสู่วงการพับได้เลย ผ่านหน้าร้านของซัมซุง, ตัวแทนจำหน่าย และเครือข่ายที่ร่วมบริการทั้งหมดได้เลย ใครที่อยากได้สมาร์ตโฟนที่สามารถเป็นตัวของตัวเอง และใช้งานจริงได้ยิ่งกว่าเดิม แถมโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สามารถพับครึ่งได้แบบมือถือพับได้แบบสมัยก่อน

ซึ่งสำหรับคนที่สนใจสมาร์ตโฟนพับได้แบบ Flip มาใช้ แต่ยังกล้า ๆ กลัว ๆ อยู่นั้น นี่คือรุ่นที่พร้อมให้เข้าสู่วงการได้จริง ยิ่งกว่าทุกครั้งแน่นอน