Our score
7.9OPPO Reno12 F 5G
'OPPO AI Phone' ที่ถูก (เกือบ) ที่สุด แต่ให้ AI แน่นสุด และราคาที่ต้องจ่าย !
แม้ OPPO Reno12 F 5G จะไม่ใช่ AI Phone จาก OPPO ที่ถูกที่สุด (เพราะ OPPO A3 Pro เอาไปครอง) แต่ถ้ามองถึงความครบด้าน AI ใน 'OPPO AI Phone' ในปีนี้แล้ว OPPO Reno12 F 5G ก็แทบจะเป็นรุ่นเดียวที่ให้ AI มาแน่นครบในราคาแค่ 11,990 บาทนี้ เพียงแต่ว่า สิ่งที่ต้องแลกมาเพื่อให้ได้ฟีเจอร์ AI ที่แน่นเอี๊ยดขนาดนี้ จะคุ้มกับราคาและสเปกที่ได้หรือไม่ รีวิวนี้จะช่วยตัดสินใจครับ !
จุดเด่น
- ให้ฟีเจอร์ AI Phone มาเกือบเท่ารุ่นพี่ Reno12
- มีฟีเจอร์ 'ไฟหรี่สลับสว่าง' เพื่อให้การใช้งานสนุกกว่าเดิม และไม่ต้องหงายหน้ามือถือบ่อย ๆ
- กล้องถ่ายภาพยังสามารถถ่ายภาพบุคคลได้สกินโทนที่ดูดีอยู่
- ดีไซน์เครื่องค่อนข้างสวย ถือใช้จริงแล้วรู้สึกพรีเมียม
- ให้ลำโพงคู่แล้ว !
จุดสังเกต
- ฟีเจอร์ AI หลายตัวต้องต่ออินเทอร์เน็ต และยังไม่รองรับภาษาไทย
- ชิปเซตที่ให้มาระดับที่ด้อยลงกว่าเดิม
- กล้องถ่ายภาพ ถ่ายภาพบุคคลได้แค่ที่ 1x เท่านั้น
- พอร์ตที่ให้มายังเป็นพอร์ต USB-C 2.0 อยู่ และไม่มีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มิลลิเมตรมาให้
- มอเตอร์สั่นยังเป็นมอเตอร์แบบเดิม ไม่ใช่ Linear ฟีลลิ่งการพิมพ์อาจไม่ดีเท่า
-
หน้าจอ
8.0
-
กล้อง
8.0
-
แบตเตอรี่
7.5
-
เสียง
8.0
-
ประสิทธิภาพ
7.0
-
ดีไซน์
9.0
-
ความคุ้มค่า
7.5
OPPO Reno12 Series นี่ แทบจะเป็นตระกูลสมาร์ตโฟนที่เจาะความเป็น AI เสียจนเต็มขั้นเลยก็ว่าได้ครับ ซึ่งนั่นหมายความรวมถึง OPPO Reno12 F 5G เครื่องนี้ที่เราจะมารีวิวกัน ซึ่งแม้ว่ารุ่น F จะเป็นรุ่นที่ราคาเบาที่สุดในตระกูล แต่ฟีเจอร์ด้าน AI นั้นก็ได้ให้ฟีเจอร์หลัก ๆ มาเกือบครบเมื่อเทียบกับรุ่นพี่ในตระกูลเลยทีเดียว รีวิวบทความนี้เราจะมาดูกันว่า OPPO Reno12 F 5G เครื่องนี้มีดีอะไรนอกเหนือจาก AI กันบ้าง !?
สเปกภายในเครื่อง
- หน้าจอ : AMOLED ขนาด 6.67 นิ้ว รีเฟรชเรต 120Hz แบบแบน ความละเอียด FHD+ (2400 x 1080)
- ชิปเซต MediaTek Dimensity 6300 รองรับ 5G
- หน่วยความจำขนาด 256GB UFS2.2
- RAM : 12GB LPDDR4X
- กล้องหลัง 3 ตัว ประกอบไปด้วย
- กล้องหลักความละเอียด 50 ล้านพิกเซล (f/1.8)
- กล้องเลนส์ Ultra-Wide ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล (f/2.2) 112 องศา
- กล้องถ่ายภาพมาโคร ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล (f/2.4)
- กล้องหน้าขนาด 32 ล้านพิกเซล f/2.4
- แบตเตอรี่ 5000 mAh พร้อมชาร์จไว 45W SUPERVOOC
- ซอฟต์แวร์ ColorOS 14.0.1 (Based on Android 14)
- มีสีให้เลือก 2 สี ได้แก่คือสีส้ม Amber Orange และสีเขียว Olive Green
ดีไซน์
ดีไซน์รอบตัวเครื่องของ OPPO Reno12 F 5G นั้นมีดีไซน์ที่ออกมาคล้ายคลึงกับสมาร์ตโฟนเรือธงของค่าย (ที่น่าเสียดายที่ไม่ขายไทย) อย่าง OPPO Find X7 Series ที่ขายเฉพาะในจีนไปครับ ด้วยการวางกรอบกล้องถ่ายภาพแบบวงกลม พร้อมกับแบ่งกล้องถ่ายภาพออกมาเป็น 4 ช่องให้สมมาตรกัน แล้วค่อยวางกล้องไว้ด้านบน 3 กล้อง และไฟแฟลชไว้ด้านล่างครับ ทั้งหมดทั้งมวลนี้เรียกดีไซน์ว่าเป็นดีไซน์แบบ Cosmos Ring ซึ่ง OPPO บอกว่าได้แรงบันดาลใจมาจากรูปทรงนาฬิกาข้อมือคลาสสิกด้วยครับ
ที่เรียกว่า Cosmos Ring ก็เพราะว่ารอบ ๆ ของวงกลมนี้ได้มีการใส่ไฟ ‘Halo Light’ หรือเรียกเป็นภาษาไทยว่าเป็น ‘ไฟหรี่สลับสว่าง’ ซึ่งเป็นวงไฟ ที่สามารถใช้งานได้หลากหลายอย่างมาก อย่างเช่น การชาร์จ การแจ้งเตือน การโทร และการเล่นเกม ก็คือ ถ้าชาร์จแบตเตอรี่ ไฟก็ขึ้น, มีแจ้งเตือนเข้ามา ไฟก็ขึ้น, มีคนโทรเข้ามา ไฟก็ขึ้น หรือกระทั่งระหว่างเข้าเกมอยู่ ไฟก็ขึ้นเช่นเดียวกัน
อีกอย่างที่ค่อนข้างเท่เลยก็คือการเล่นเพลงครับ ที่สามารถให้ไฟ Halo Light นี้ขึ้นตามจังหวะเพลงได้อีกด้วย ซึ่งการเล่นไฟไปพร้อมกับเพลงแบบ Music Party นี้ มีจุดเด่นที่การเล่นไฟจะขึ้นเร็วหรือช้า, เบาหรือแรงตามจังหวะของเพลงที่เล่นอยู่ด้วยนะ ยิ่งพ่วงกับการเร่งเสียงลำโพงแบบ 300% และลำโพงคู่ที่ให้มาด้วยแล้ว ทำให้ประสบการณ์การเล่นเพลงทำได้สนุกกว่าเดิมพอสมควร
ตัวไฟสามารถตั้งค่าได้ในเครื่องเลยครับ แถมสามารถตั้งค่าแยกตามประเภทของเหตุการณ์ที่ไฟจะขึ้นได้ด้วย เช่นถ้าอยากให้เล่นเกมขึ้นเป็นไฟเซตหนึ่ง ในขณะที่ให้การแจ้งเตือนขึ้นไฟอีกเซตหนึ่งก็ได้เหมือนกัน
ทั้งหมดทั้งมวลนี้มีข้อดีในด้านการใช้งานครับ เพราะถ้าเราอยู่ในระหว่างเวลาสำคัญ เช่นมีประชุม หรือเรียนอยู่ ไฟ Halo Light จะขึ้นการแจ้งเตือนให้เราได้โดยที่เราไม่ต้องกังวลและหยิบมือถือขึ้นมาดูบ่อย ๆ ครับ แค่สังเกตไฟ Halo Light นี้ก็พอแล้ว ซึ่งการทำงานของไฟนี้ออกมาดูค่อนข้างสวยงามและพรีเมี่ยมเลย ไม่ว่าจะเหตุการณ์ไหนก็ตาม
ส่วนฝาหลังของเครื่อง แบ่งออกเป็น 2 สีครับ ซึ่งสีที่รีวิวอยู่นี้คือสี Amber Orange ซึ่ง OPPO ได้แรงบันดาลใจจากสีแห่งปี 2024 อย่างสี ‘Peach Fuzz’ ที่ผสมความเป็นแฟชันกับความเป็นเทคโนโลยีออกมาเป็นสีส้มที่ไล่สีออกมาสวย ๆ คล้าย ๆ สีพระอาทิตย์ตกดิน แล้วฝาหลังก็มีลายเคลือบพื้่นผิวคล้าย ๆ เปลวไฟที่ออกมา แล้วขัดด้านให้ดูดี ไม่ติดลายนิ้วมือ ออกมาเป็นสีส้มที่ไม่ได้โดดมาก แต่ก็ยังอมพีชอีกเล็กน้อยด้วย โดยในไทยขายคู่กับสี Olive Green ที่เป็นสีเขียวเข้มขัดด้านหน่อย ซึ่งส่วนตัวว่าแล้วแต่คนชอบเลยครับว่าชอบแนวสดใสหรือเข้ม ๆ อีกหน่อยกว่ากัน
รอบ ๆ เครื่องก็คล้าย ๆ เดิมครับ คือวางปุ่มควบคุมเสียง และเปิด-ปิดไว้ด้านขวา เอาไมค์ตัดเสียงรบกวนและรูลำโพงไว้ด้านบน เอาพอร์ต USB-C 2.0, ลำโพง, ไมโครโฟน และช่องเสียบซิม (2 ซิม หรือ 1 ซิมแบบเพิ่ม Micro SD Card ได้) ไว้ด้านล่าง ส่วนด้านซ้ายปล่อยโล่งไปเลยครับ แต่เป็นวัสดุพลาสติกแบบมันวาวหน่อยครับ
โดยรวม ๆ แล้ว การออกแบบของ OPPO Reno12 F 5G ทำออกมาได้ดูดีเลยทีเดียวครับ โดยเฉพาะเรื่องฝาหลังที่ออกมาดูสวย และติดลายนิ้วมือค่อนข้างยากเลย งานประกบอก็ทำได้ค่อนข้างแน่นมากด้วย เลยทำให้อยากใช้โดยไม่ต้องใส่เคสเลยครับ เพียงแต่ว่าถ้าไม่ใส่เคส ขอบเครื่องจะติดลายนิ้วมือง่ายแทนครับ น่าเสียดายเล็กน้อย
OPPO AI ใน OPPO Reno12 F 5G
ขึ้นชื่อว่าเป็นตระกูล ‘OPPO Reno12 Series’ ทั้งที่ เรื่องของการเป็น ‘OPPO AI Phone’ นั้นก็ไม่มีขาดไปจากใน Reno12 F 5G เลยครับ ซึ่งฟีเจอร์ OPPO AI ที่มีมาให้ใน Reno12F 5G นั้น แม้จะไม่ได้ครบ 100% เท่ากับใน Reno12 และ Reno12 Pro ก็ตาม แต่ฟีเจอร์ AI ที่มีมาให้นั้นก็ถือว่าเยอะมากพอตัวเลยทีเดียวครับ ทั้งนี้รีวิวฟีเจอร์นี้โดยรวม สามารถย้อนกลับไปอ่านได้ในรีวิวของรุ่นพี่ Reno12 5G, Reno12 Pro 5G ที่ผ่านมาได้เลยครับ
ซึ่งฟีเจอร์ที่มีให้นั้นจะประกอบไปด้วย ‘ยางลบ AI 2.0’ ที่แค่วงกลมทับวัตถุ หรือระบายสีทับวัตถุ ก็ให้ AI ลบของ หรือคนนั้น ๆ ออกไปได้ รวมไปถึง ‘ลบบุคคล’ ที่แค่กดไป OPPO AI จะหาบุคคลที่อยู่ในพื้นหลัง ลากคลุมคนเหล่านั้น แล้วเราก็แค่กดลบคนที่เกินออกไปได้ทั้งหมดเลย
ต่อมาก็คือ AI Studio ที่แค่อัปโหลดรูปหน้าไป ก็ให้ AI แต่งภาพไปเป็นภาพบุคคลในธีมต่าง ๆ ได้ตามที่เราอยากได้ ทั้งแบบจริงจัง แฟนตาซี เป็นภาพวาด เป็นอะไรก็ได้ เท่ากันกับในรุ่นพี่เลย
หรือจะเป็นฟีเจอร์ AI Toolbox ซึ่งเป็นฟีเจอร์ AI ที่เข้าได้ผ่าน ‘แถบด้านข้างอัจฉริยะ’ (ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วไม่ได้เปิดอยู่นะ) ที่จะมี AI Writer (ที่ให้ AI ช่วยเขียนในสไตล์ที่แตกต่างกันตามที่เราเลือก) หรือจะเป็น AI Speak และ AI Summary ที่จะให้ AI อ่านหน้าเว็บไซต์ทั้งหมดแล้วสรุปหน้าเว็บให้อ่าน หรือให้อ่านให้ฟังก็ได้ ก็สามารถทำได้เหมือนกันนะ แต่ว่ายังคงรองรับแค่ภาษาอังกฤษ ภาษาฮินดู และภาษาจีนเท่านั้นนะในตอนนี้
ฟีเจอร์ที่หายไปจาก OPPO Reno12 F 5G นั้นจะขาด AI Clear Face และ AI Best Face ที่ใช้ AI ภายในเครื่องในการ Generate แก้ไขภาพถ่ายให้ออกมาดูดีที่สุด จุดนี้ด้วยสเปกภายในเครื่องที่ยังดีไม่เท่ารุ่นพี่ อาจจะยังไม่สามารถทำได้นะ
กล้องถ่ายภาพ
กล้องถ่ายภาพของ OPPO Reno12 F 5G นั้นเปลี่ยนความละเอียดออกมาจากใน Reno11 F 5G รุ่นที่ผ่านมาไปอยู่บ้างครับ โดยเปลี่ยนเซนเซอร์หลักไปใช้ขนาด 50 ล้านพิกเซลแทน แล้วให้กล้องถ่ายภาพที่เหลือที่ความละเอียดเท่าเดิม คือกล้องมุมกว้างมาก 8 ล้านพิกเซล และกล้องถ่ายภาพมาโครที่ 2 ล้านพิกเซลครับ ซึ่งแม้จะเป็นการลดความละเอียดลงไปเล็กน้อย แต่ใคร ๆ ก็รู้ว่าแค่ความละเอียดของกล้องถ่ายภาพนั้นไม่สามารถที่จะบอกผลลัพธ์ของภาพถ่ายได้แน่นอน ลองดูภาพกันเลยดีกว่า
อย่าลืมกดดูที่ภาพเพื่อดูภาพขนาดเต็ม และเลื่อนดูภาพอื่น ๆ กันด้วยนะ !
คุณภาพของภาพถ่ายโดยทั่วไปนั้น สามารถทำสีออกมาได้ค่อนข้างโอเคเลยครับ เพียงแต่ว่าลักษณะของสีของภาพนั้นจะออกไปทางเรียลค่อนข้างมาก ซึ่งจะค่อนข้างคล้ายคลึงกับที่เห็นใน Reno11 F กันมาก่อนครับ สีของภาพไม่ได้ออกมาสดมากนักครับ ยังเน้นเอาภาพไปแต่งต่ออีกหน่อยเหมือนเดิม เพียงแต่ว่า คุณภาพของกล้องถ่ายภาพนั้นเริ่มที่จะออกห่างกับตัว Reno12 Series ตัวพี่ไปไม่น้อยเลยเหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งว่าตัวพี่นั้นได้มีการอัปเกรดเรื่องการแต่งสีของกล้องให้ออกมาดูสวยงามมากขึ้นไปแล้ว แต่ว่าด้วยเรื่องความคมชัดของภาพ ยังถือว่าไม่ได้ทำออกมาดูคมผิดปกติแต่อย่างใดนะ ดังนั้นเรื่องความชอบของภาพนั้น ขึ้นอยู่กับทุกคนแล้วว่าชอบสไตล์ของภาพแบบนี้ไหมนะ
ที่น่าเสียดายกว่าคือ ตอนนี้ OPPO Reno12 F 5G นั้นไม่สามารถใส่ลายน้ำแบบกรอบที่จะแสดงชื่อรุ่น ระยะของเลนส์ F-Stop ความเร็วชัตเตอร์ และ ISO ให้ดูแล้ว กลายเป็นว่าจะเหลือลายน้ำแค่เป็นชื่อไว้ตามตำแหน่งที่เรากำหนดไว้แทนนะ แต่ถ้าอยากให้มีกรอบแบบนั้นจริง ๆ แนะนำให้กดแก้ไข และเลือก ‘ลายน้ำ’ ลายน้ำแบบกรอบก็จะกลับมาครับ
รวม ๆ แล้วถ้าอยากเน้นถ่ายภาพทั่วไป Reno12 F 5G ยังพอไหวแน่ครับ แต่ถ้าอยากได้สีโทนสดหน่อยอาจจะต้องปรับสีอีกเล็กน้อยจะเหมาะสมกว่านะ
กล้องถ่ายภาพบุคคล
ส่วนเรื่องการถ่ายภาพบุคคลนั้น น่าเสียดายมากที่การถ่ายภาพบุคคลของ Reno12 F 5G นั้นสามารถถ่ายได้แค่ที่ 1x เท่านั้น ไม่สามารถถ่ายที่ 2x ได้แบบใน Reno11 F รุ่นที่ผ่านมา โดยสามารถถ่ายได้ที่ระยะ 27 มม. เท่านั้น ซึ่งปัญหาของการถ่ายภาพบุคคลที่ระยะนี้ก็คือ ถ้าเกิดว่าเราอยากได้ระยะที่เหมาะสมสำหรับการถ่ายภาพบุคคล มักจะใช้ที่ระยะครอป 2x (หรือประมาณ 50 มม.) มากกว่า ซึ่งในกรณีนี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการเข้าใกล้ให้มากขึ้นแทนครับ หรือใช้โหมดโปรในการถ่ายและปรับการตั้งค่าเพิ่มเติม เพื่อให้ถ่ายได้ 2 เท่าแทนก็ได้เหมือนกัน
แต่ถ้ามองข้ามเรื่องของระยะการถ่ายภาพไปได้แล้ว การถ่ายภาพบุคคลจะสามารถเก็บคุณภาพของภาพถ่ายบุคคลได้ค่อนข้างดีครับ แม้จะมีการบิวตี้อยู่บ้างเล็กน้อย แต่การปรับแต่งสีผิวของแบบทำได้ค่อนข้างดี ไม่ติดเหลือง ไม่อมสีอื่นมาก แต่อาจจะมีหลุด ๆ บ้างในบางสถานการณ์นะ แต่ยังสามารถถ่ายภาพบุคคลได้ค่อนข้างโอเคเลย แม้จะใช้โหมดถ่ายคนธรรมดาครับ
ส่วนปัญหาชัตเตอร์ยากที่เจอใน Reno11 F ที่ผ่านมา ก็ยังเจออยู่เหมือนเดิมครับ คือเราไม่สามารถรัวชัตเตอร์เพื่อถ่ายภาพบุคคล ด้วยการประมวลผลหลังจากถ่ายแล้วที่ค่อนข้างมาก ซึ่งตรงจุดนี้แก้ได้ด้วยการเล็งภาพถ่ายบุคคลให้ดีแต่แรก จะได้ผลที่ดีกว่าแน่นอน
กล้องถ่ายภาพมุมกว้างมาก และการซูม
กล้องถ่ายภาพมุมกว้างมากนั้นให้ความละเอียดมาเท่าเดิมที่ 8 ล้านพิกเซลครับ ซึ่งคุณภาพของกล้องถ่ายภาพมุมกว้างมากนั้น ได้คุณภาพที่คล้ายคลึงกันกับในรุ่นที่ผ่านมา และใถ่ายออกมาได้สีที่ค่อนข้างต่อเนื่องกันกับกล้องถ่ายภาพหลักเลยครับ แต่จะออกมามืดกว่าปกติเล็กน้อย ลองดูภาพเปรียบเทียบของทั้ง 2 กล้องนี้ดูได้เลยครับ
ส่วนการซูม OPPO Reno12 F 5G ยังสามารถซูมได้ด้วยการครอปกล้องถ่ายภาพหลักล้วน ๆ เหมือนเดิม ทำให้สามารถซูมได้สูงสุด 10 เท่าเหมือนเดิม ซึ่งระยะหวังผลการซูมนั้นยังได้ไม่เกิน 2 เท่าเหมือนเดิมครับ (ในภาพด้านล่างคือภาพที่ระยะ 0.6 เท่า, 1 เท่า, 2 เท่า, 5 เท่า และ 10 เท่าตามลำดับ)
ภาพถ่ายกลางคืน
การถ่ายภาพกลางคืนนั้นสามารถถ่ายออกมาได้สว่างและค่อนข้างชัดอยู่ครับ แม้จะไม่ได้ชัดมาก ๆ แต่การใช้โหมดถ่ายภาพกลางคืน จะช่วยให้ตัวภาพนั้นได้ภาพที่สว่างและคมชัดกว่าการใช้กล้องถ่ายภาพแบบปกติ ดังนั้นการใช้โหมดกลางคืนจะช่วยให้ถ่ายภาพออกมาได้ดีกว่านะ
เซลฟี
และการเซลฟีด้วยกล้องหน้า 32 ล้านพิกเซลนั้น ก็ได้ภาพที่ออกมาสวยเด้งไม่แพ้กล้องหลังนะ แต่ว่าจะออกมาดูบิวตี้อีกเล็กน้อย แนะนำว่าให้ถ่ายภาพเซลฟีด้วยการปิดโหมดบิวตี้ก่อน จะทำให้ถ่ายภาพเซลฟีได้ดีกว่านะ แถมกล้องถ่ายภาพเซลฟีนี้ยังสามารถถ่ายแบบกว้างมาก (0.8 เท่า) ได้ด้วยนะ
ทั้งนี้ โดยรวม ๆ แล้ว การถ่ายภาพของ OPPO Reno12 F 5G นั้นสามารถถ่ายออกมาได้ดูค่อนข้างโอเคครับ แม้ว่าการถ่ายภาพบุคคลบางภาพนั้นอาจจะออกมาดูแปลก ๆ เล็กน้อยในบางสถานการณ์ รวมไปถึงไม่สามารถถ่ายภาพคนแบบคูณ 2 เท่าได้ด้วย แต่ว่าในด้านการถ่ายภาพในองค์รวมนั้นยังสามารถถ่ายออกมาได้ดูเรียล และยังสามารถถ่ายออกมาได้สมจริง ซึ่งมีคนที่ค่อนข้างชอบสีโทนนี้อยู่แล้ว หรือเหมาะกับใครก็ตามที่อยากจะเอาภาพมาแต่งต่อแน่นอนครับ
หน้าจอ
หน้าจอของ OPPO Reno12 F 5G นั้นให้มาที่ขนาด 6.67 นิ้ว ด้วยพาแนลแบบ AMOLED รีเฟรชเรต 120Hz แบบแบน ความละเอียด FHD+ (2400 x 1080) ความสว่างสูงสุด 2,100 nits และความสว่างสูงสุดโดยทั่วไป 1,200 nits ครับ ซึ่งถ้าสังเกตดีๆเมื่อเทียบกับในรุ่นที่แล้วคุณภาพสีแบบ HDR 10+ นั้นได้หายไปจากในรุ่นที่แล้วครับ
ซึ่งจากที่ได้ลองใช้จริงมานั้น คุณภาพของสีนั้นออกไปทางค่อนข้างสดมากเลยทีเดียว ซึ่งสีที่สดมากนี้อาจจะไม่เหมาะกับใครบางคนที่ไม่ชอบสีของหน้าจอที่สดมากนักนะครับ แต่ก็ยังดีที่ OPPO ได้ให้การปรับโหมดสีหน้าจอ ที่ทำให้เราสามารถเปลี่ยนจากโหมดสี ‘เจิดจ้า’ ที่ตั้งเป็นค่ามาตรฐานอยู่แล้ว ให้เป็นโหมด ‘เป็นธรรมชาติ’ ซึ่งเป็นโทนสีที่ออกไปทางหม่นกว่าเล็กน้อย แต่ก็ยังสวยงามอยู่ ซึ่งผู้เขียนนั้นชอบสีโทนนี้มากกว่า
ทีนี้ว่าด้วยเรื่องการแสดงผลของวิดีโอกันบ้างครับ เพราะว่าการแสดงผล YouTube นั้นไม่สามารถแสดงผลที่ความละเอียด 4K ได้ แต่จะสามารถแสดงผลได้แค่ที่ความละเอียด 1440P เท่านั้น รวมไปถึงไม่สามารถแสดงผลแบบ HDR ได้ด้วย เป็นไปได้ว่ามาจากการที่ชิปเซตของตัวเครื่องนั้น ลดไปใช้ Dimensity 6300 ที่อาจจะไม่สามารถขับความละเอียดที่มากเกินตัวนี้ได้นักครับ แต่ด้วยคุณภาพของหน้าจอที่ให้มาที่ Full HD+ นั้น การแสดงผลภาพที่ความละเอียดเกินตัวมันไปก็อาจจะไม่ได้มีผลต่อการแสดงผลภาพจริงมากนักแล้วครับ เพราะจอละเอียดได้เท่านี้
แต่โดยรวม ๆ แล้ว หน้าจอของรุ่นนี้ ก็สามารถเล่นโซเชียลหรือใช้งานทั่วๆไปได้แบบไม่มีปัญหามากนักครับ ยังสามารถแสดงผลหน้าจอได้ลื่นไหลเต็มที่ 120Hz อยู่ เอาไปถึงหน้าจอที่เป็น AMOLED นี้สามารถใส่เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอได้ด้วยนะ เพียงแต่ว่าหน้าจอค่อนข้างกว้างหน่อย แม้กระทั่งมือของผู้เขียนที่ค่อนข้างใหญ่แล้ว เวลาจับตัวเครื่องอาจจะเอื้อมไปแตะขอบจออีกข้างหนึ่งได้ยากไปสักเล็กน้อยครับ แต่ถ้าใช้งาน 2 มือก็ไม่มีปัญหาแน่นอน
แต่หน้าจอนี้ก็ยังสามารถใช้งานได้แม้เปียกเล็กน้อย ด้วยฟีเจอร์ Splash Touch ที่ทำให้หน้าจอสามารถใช้งานได้แม้กระทั่งหน้าจอจะเปียกฝนอยู่ หรือกระทั่งโดนน้ำหยดเพียงเล็กน้อย แถมยังกันน้ำกันฝนที่มาตรฐาน IP64 อีกด้วยนะ
สเปกภายในเครื่อง ประสิทธิภาพ และการเล่นเกม
OPPO Reno12 F 5G ได้ให้ชิปเซตเป็น MediaTek Dimensity 6300 ที่รองรับ 5G ครับ แม้ว่ารุ่นนี้จะเป็นรุ่นที่โดนดาวน์เกรดมาจากรุ่นที่แล้วที่เคยใช้ Dimensity 7050 มาก่อนแต่ ชิปซีรีส์ 6000 รุ่นใหม่นี้ ก็ได้รับการเคลมจากทาง OPPO ว่าสามารถทำให้ใช้งานแบตเตอรี่ได้ยาวนานมากยิ่งขึ้น ซึ่งตรงนี้เราต้องพิสูจน์กันต่อไป แต่ว่าในด้านการใช้งานทั่วไปแล้ว ชิปเซต Dimensity 6300 นี้ก็ไม่ได้ทำให้การใช้งานทั่วไปมีปัญหาแต่อย่างใด ยังสามารถเล่นโซเชียล, ดู YouTube, ทำงานทั่ว ๆ ไป หรือถ่ายรูปได้แบบไม่ได้มีปัญหามากนัก เพียงแต่ว่าถ้าเริ่มใช้งานแบบต่อเนื่อง เข้าหลาย ๆ แอปฯ ความหน่วงก็จะเริ่มมารบกวนการใช้งานบ้างเล็กน้อย ส่วน RAM นั้นก็ได้ให้เพิ่ม เป็น 12 GB LPDDR4X และให้หน่วยความจำที่ 256GB UFS 2.2 ครับ
แม้โดยรวม ๆ อาจจะยังพอเรียกว่านี่คือ ‘Everyday Phone’ หรือสมาร์ตโฟนที่ไว้ใช้ทั่วไปในชีวิตประจำวันได้ แต่จากการทดสอบ CPU ด้วย Geekbench 6.3.0 นั้น ได้คะแนน Multi-Core อยู่ที่ 1,963 คะแนน และคะแนน Single-Core อยู่ที่ 779 คะแนน และทดสอบกราฟิกผ่าน 3DMark ชุด Wild Life Stress Test คะแนนสูงสุดจะอยู่ที่ 1,366 คะแนน และต่ำสุดที่ 1,361 คะแนน ความนิ่งของคะแนนอยู่ที่ 99.6% และอุณหภูมิสูงสุดอยู่ที่ 33 องศา เอาจริง ๆ เป็นคะแนนที่อยู่ในระดับกลางมาก ๆ อยู่เลยครับ อาจจะน้อยสำหรับการเล่นเกม แต่ถ้าในด้านการใช้งานทั่วไป เรียกว่ายังพออยู่นะ
ส่วนการลงสนามจริงด้วยการทดสอบเกม Genshin Impact ที่ปรับคุณภาพของกราฟิกไว้ที่สูงสุด และตั้งค่า 60FPS มา ตัวเครื่องแจ้งว่าเฟรมเรตที่ได้จะอยู่ที่มากสุด 30 FPS แต่เฉลี่ยแล้วถือว่ายังเจออาการแลคอยู่อีกไม่น้อยเลย แนะนำว่าถ้าปรับการตั้งค่าเป็นต่ำ และตั้ง 60 FPS อาจจะทำให้ประสบการณ์ในการเล่นดีกว่านี้ครับ
ส่วนเกม RoV นั้น ยังสามารถปรับสุดและเล่น 60FPS ได้แบบสบาย ๆ อยู่นะ แต่อาจจะมีการเฟรมดรอปแค่นิดเดียวเท่านั้น แต่ไม่รู้สึกมีปัญหาเวลาเล่นแต่อย่างใดนะ
แบตเตอรี่
แบตเตอรี่ของ OPPO Reno12 F 5G นั้นได้ให้มาที่ 5,000 มิลลิแอมป์ครับ เรียกว่าเป็นปริมาณมาตรฐานของสมาร์ตโฟนระดับกลางแล้วครับ ซึ่งจากการที่เราได้ทดสอบใช้งานจริงจากการเปิด 5G ตลอดเวลาที่ทดสอบ ยาวนานตั้งแต่ 11 โมง ถึง 5 ทุ่ม แบบที่ไม่ได้เล่นเกมอะไร แต่มีการเปิดหน้าจอเพื่อเล่นโซเชียล ถ่ายภาพ ออกไปเที่ยวข้างนอกแบบเต็มวันและกลับมาเล่นมือถือที่บ้านต่อนี่แหละครับ แบตเตอรี่เราได้ใช้จาก 92% เหลือ 45% เมื่อใช้ Screen-On Time ที่ 3 ชั่วโมง 11 นาทีครับ ดังนั้นแปลว่า Scren On Time ที่ใช้ได้จนแบตเตอรี่หมดนั้นจะอยู่ที่ประมาณ 6 ชั่วโมงได้อยู่นะ เป็นตัวเลขที่ทำได้ดีกว่าใน Reno11 F ที่ผ่านมา แต่ยังน้อยกว่า Screen On Time ของรุ่นพี่ Reno12 ที่เหลือที่สามารถใช้งาน Screen On Time ได้ 8 ชั่วโมง พร้อมใช้งานยาว 6 โมงเช้า – เที่ยงคืนด้วย
แต่การชาร์จแบตเตอรี่กลับก็โดนเนิร์ฟไปเหลือที่ SUPERVOOC 45W ครับ แม้ว่าในเรตราคานี้ การให้ระบบชาร์จเร็วที่ 45W ยังเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างสูงอยู่ แต่การพิสูจน์ความพอของการชาร์จนั้น จะได้จาการลองชาร์จจริงครับ ซึ่งที่ลองจับเวลาชาร์จมา จะสามารถชาร์จจาก 10% – 70% ได้ภายในเวลา 40 นาทีครับ เอาจริง ๆ ถือว่าช้าลงบ้าง แต่ก็ไม่ได้ช้ามากจนเกินไป ยังพอจะสามารถเสียบชาร์จตอนเช้าก่อนออกไปเรียน หรือไปทำงานได้อยู่
สรุปส่งท้าย
โดยรวมแล้ว OPPO Reno12 F 5G เป็นสมาร์ตโฟนที่แปลกครับ คืออยู่ในจุดที่เป็น AI Phone ที่ให้ OPPO AI มาครบที่สุดเลย สำหรับใครที่อยากได้ AI ไปใช้ล้วน ๆ Reno12 F 5G เครื่องนี้ให้ได้แน่ ๆ รวมไปถึงสายไลฟ์สไตล์ที่อยากได้สมาร์ตโฟนหน้าตาสวย ๆ มีฟีเจอร์เทพ ๆ ก็สามารถใช้งานรุ่นนี้ได้เลย
เพียงแต่ว่า สิ่งที่ต้องแลกมาเพื่อให้ได้ฟีเจอร์ OPPO AI นั้นก็ค่อนข้างแลกพอสมควรเลย ทั้งชิปเซต หน้าจอ แบตเตอรี่ กล้องถ่ายภาพอีกเล็กน้อย และยังมีเรื่องของเรตราคาที่ขึ้นจาก Reno11 F อีกพอสมควร จนทำให้โดยส่วนตัวของผู้เขียนแล้ว OPPO Reno12 5G จะเป็นรุ่นที่น่าสนใจมากกว่าพอสมควรเลยครับ ด้วยฟีเจอร์ AI ที่ครบกว่า สเปกที่แรงกว่า ด้วยเรตราคาที่เพิ่มอีกเล็กน้อย แต่ผู้เขียนมองว่าเป็นการอัปเกรดที่ค่อนข้างคุ้มครับ
เรตราคาของ OPPO Reno12 F 5G นั้นวางจำหน่ายในประเทศไทยอยู่ที่ 11,999 บาทครับ โดยใครที่สนใจใน Reno12 F 5G เครื่องนี้ ก็สามารถหาซื้อได้ทั้งผ่านร้านค้าตัวแทนจำหน่าย, เครือข่ายผู้ให้บริการ และ Official Store ของ OPPO ทั้งบน Shopee และ Lazada ได้เลย !