Our score
9.1[รีวิว] OM System OM-1 II เรือธงยุคใหม่ ลบภาพจำเดิม ๆ ของกล้อง M4/3
กล้องมิเรอร์เลสเรือธงรุ่นใหม่ ที่จะมาขจัดข้อกังขาเดิม ๆ ของระบบ Micro Four Thirds 'OM System OM-1 Mark II'
OM Digital Solution บริษัทใหม่ภายใต้อุดมการณ์เดิมจากแบรนด์กล้องชื่อดังที่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนานตั้งแต่สมัยยุคฟิล์มอย่าง Olympus แม้การเปลี่ยนผ่านจะมาถึงรุ่นที่ 2 แล้ว แต่โอลิมปัสในยุคใหม่ก็มาพร้อมเทคโนโลยีที่ล้ำหน้ากว่าเดิม กับ 'OM System OM-1 Mark II' ให้คุณภาพที่ดีขึ้นแบบก้าวกระโดด แม้จะเป็นกล้องเซนเซอร์เล็กกว่ามิเรอร์เลสแบรนด์อื่น ๆ ในตลาด กับจุดเด่น System ที่เล็กเบากว่าถึงครึ่งต่อครึ่ง !
จุดเด่น
- System เล็กเบา
- คุณภาพการจัดการ Noise ที่ดีขึ้นกว่าเดิม
- กันสั่นหยุดโลกสุดเทพ
- ถ่ายรัวระดับ 120fps ได้ (AF/AE ที่ 50fps)
- หนักแค่ 599 กรัม
- กริปจัดถนัดมือมาก
- ช่องมองภาพใหญ่เต็มตา
- กันละอองน้ำกันละอองฝุ่น IP53
- มีฟีเจอร์ช่วยในการถ่ายภาพเยอะ
จุดสังเกต
- อาจไม่เหมาะนักกับคนชอบเสพ DOF หรือการละลายหลัง
- สเปกพื้นฐานยังคงเหมือน OM-1 ตัวแรก เช่น เซนเซอร์, วิดีโอ
- ราคา 99,900 บาท แต่ถ้าชอบในสิ่งที่กล้องกับ System M4/3 มีก็ถือว่าคุ้ม
-
สเปกภาพนิ่ง
8.7
-
สเปกวิดีโอ
8.5
-
ระบบโฟกัส
9.0
-
กันสั่น 5 แกน
9.5
-
การจับถือ
10.0
-
ขนาดน้ำหนัก
10.0
-
แบตเตอรี่
9.0
-
ความคุ้มค่า
7.8
ย้อนกลับไปสัก 10 กว่าปีก่อน กล้องระบบ Micro Four Thirds เรียกว่าเป็นกล้องที่มาบุกเบิกยุคมิเรอร์เลสก็ว่าได้ครับ ทั้งขนาดที่เล็กเบา พกพาสะดวก แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไปหลายคนก็หันไปมองมิเรอร์เลสที่เซนเซอร์ใหญ่กว่าอย่าง APS-C หรือ Full frame กันมากขึ้น
แต่การมาของ ‘OM System OM-1 II’ เรือธงรุ่นใหม่จากแบรนด์ที่สืบทอดเจตนารมณ์จากโอลิมปัสจะมาเปลี่ยนความคิดเดิม ๆ เกี่ยวกับกล้อง M4/3 ใหม่อีกครั้ง ฉีกข้อจำกัดเดิม ๆ ที่มีมา พร้อมกับยังชูจุดเด่นอย่างขนาดที่เล็กเบากว่า System อื่น ๆ บอดี้ที่อึดถึกทน รวมไปถึงกันสั่นหยุดโลกในตำนานไว้อย่างครบถ้วน
ว่ากันตามตรงครั้งนี้ยังเป็นครั้งแรกที่ผู้เขียนได้จับ System M4/3 อย่างจริงจังอีกด้วยครับ เจ้า OM-1 Mark II มันเจ๋งยังไง ทำไมเราถึงหยิบมารีวิวในครั้งนี้จากประสบการณ์คนที่ใช้กล้องเซนเซอร์ใหญ่มาโดยตลอด ไปหาคำตอบกันได้เลยครับ !
สเปก OM System OM-1 II
- เซนเซอร์ Micro Four Thirds 20.4 ล้านพิกเซล Stacked CMOS
- ชิปประมวลผล TruePic X Dual Quad Core Processor
- กันสั่น 5 แกน ชดเชยสปีดชัตเตอร์ได้ถึง 8.5 สต็อป
- ISO 80-25600 (ขยายสูงสุด 102400)
- ระบบโฟกัส Cross-type phase detection AF 1,053 จุด
- AI detection AF – Formula cars, rally cars, motorcycles / Aircrafts, helicopters / Bullet trains, standard trains, steamlocomotives / Birds / Dogs, cats และล่าสุด Human Detection
- ถ่ายภาพต่อเนื่องสูงสุด 10fps (mechanical shutter), 120fps (electronic shutter)
- สปีดชัตเตอร์สูงสุด 1/8000 (mechanical shutter), 1/32000 (electronic shutter)
- 4K60p 10-bit 4:2:2, Full HD 240p
- โพรไฟล์สี HLG, OM-log
- ช่องมองภาพ EVF ความละเอียดสูง 5.76 ล้านจุด กำลังขยาย 1.65x (0.82x ฟูลเฟรม)
- จอ LCD 3 นิ้ว 1.62 ล้านจุด
- Live-ND 7 สต็อป, Live Composite, Focus Stacking, HDR, Starry Sky AF
- โหมดใหม่ Live Graduated ND
- วัสดุทำจาก magnesium alloy แข็งแรงทนทาน
- ซีลกันละอองน้ำกันละอองฝุ่น IP53
- SD Card 2 ช่อง รองรับ UHS-II
- พอร์ตไมค์, หูฟัง, Micro HDMI, USB-C
- Wi-Fi (2.4GHz/5GHz), Bluetooth 4.2
- แบตเตอรี่ BLX-1 ถ่ายได้ 520 ภาพ
- ขนาด 135mm x 92mm x 73mm
- น้ำหนัก 599 กรัม
- เมาท์ Micro Four Thirds
ชื่อ OM System กับการสานต่อเจตนารมณ์เดิมของ ‘โอลิมปัส’
สำหรับใครที่สงสัยว่า Olympus กลายเป็น OM System ไปได้อย่างไร เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปในปี 2020 กันเลยครับ ตอนที่ทางโอลิสปัสประกาศขายธุรกิจถ่ายภาพให้ Japan Industrial Partners หรือ JIP
ซึ่งการถ่ายโอนในครั้งนั้นโอลิสปัสได้โอนหุ้น 95% ของแผนกธุรกิจถ่ายภาพแก่ JIP รวมถึง ฝ่าย R&D และโรงงานทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจถ่ายภาพของทางโอลิมปัสเดิม
และในวันที่ 1 มกราคม 2021 ก็ได้ตั้งเป็นบริษัทใหม่ชื่อ ‘OM Digital Solutions Corporation’ ที่ยังคงไว้ด้วยเจตนารมณ์ที่มุ่งเน้นพัฒนาในระบบ M4/3
และเวลาก็เดินทางมาถึงเรือธงรุ่นที่ 2 กับ OM System OM-1 II ที่เป็นการอัปเกรดหลาย ๆ จุดของ OM-1 ตัวเดิมให้น่าใช้ขึ้นอีก ไม่ว่าจะเป็นในด้านบอดี้ บัฟเฟอร์ขนาดใหญ่มากขึ้น ระบบโฟกัส พร้อมตีบวกชุดกันสั่นที่ดีกว่าเดิม และอีกหลายสิ่ง
OM System OM-1 II เรือธงรุ่นอัปเกรด แม้ตัวจะเล็ก แต่การจับถือยอดเยี่ยมสมกับเป็นรุ่นโปร
ข้อดีแรกของกล้องในระบบ M4/3 คือขนาดตัวที่เล็กกะทัดรัดนี่ล่ะครับ รวมถึงเลนส์ที่เล็กกว่าในระบบอื่น ๆ ทำให้พกพาหรือใช้งานมีความคล่องตัวที่สูงมาก ซึ่งเจ้า OM-1 II นอกจากจะบอดี้เล็กกะทัดรัดแล้ว แต่ตัวกริปเองถูกเหลามาให้จับได้แน่นเต็มมือ จับถนัดกว่ากล้องฟูลเฟรมหลายรุ่นเสียอีก แถมปุ่มต่าง ๆ ยังมีครบครันอยู่บนบอดี้ให้กดใช้ได้แบบเสร็จสรรพสมเป็นรุ่นโปร
โดยรวมบอดี้ยังคล้ายกับ OM-1 ตัวแรกไม่มีผิดเพี้ยนครับ จะต่างก็ตรงโลโก้ Olympus ที่ถูกเปลี่ยนมาเป็น OM System แล้วในรุ่นนี้ พร้อมกับเสริมความเป็นยางเข้าไปในส่วนไดอัลหน้า/หลังที่เขาเรียกว่าเป็น ‘Rubbery coating’ ทำให้สัมผัสมีความหนึบเลื่อนติดนิ้วมากขึ้นโดยเฉพาะการใช้งานได้ฝั่งเมืองหนาว
กับบอดี้ที่ทำมาจาก Magnesium Alloy สุดแกร่ง แข็งแรงทนทาน พร้อมซีลกันละอองน้ำละอองฝุ่นระดับ IP53 ใช้งานลุย ๆ สมบุกสมบันได้อย่างสบายใจหายห่วง ฝนตกก็เอาอยู่
กับสิ่งที่ประทับใจเลยคือช่องมองภาพ EVF ความละเอียดสูง 5.76 ล้านจุด ที่มีกำลังขยายสูงถึง 0.82 (เทียบกับฟูลเฟรม) นี่ล่ะครับ เรียกว่าใหญ่ ลื่นไหล ใช้งานได้อยากเต็มตามาก มากับจอ LCD 3 นิ้ว 1.62 ล้านจุด แบบฟลิบได้รอบทิศทางที่สีสัน ความละเอียดถือว่าดีมาก ๆ เช่นกัน
เท่านั้นยังไม่หมด OM System เขาก็ยังใส่พอร์ตสำหรับ Sync Flash มาให้ด้วย ที่หาได้ยากแล้วในบอดี้สมัยใหม่ เผื่อต้องใช้อุปกรณ์ไฟสตูที่ยังเป็นระบบนี้อยู่ก็ยังสามารถรองรับได้
เซนเซอร์ Micro Four Thirds 20.4 ล้านพิกเซล Stacked CMOS ตัวเดิม รัวสูงสุด 120fps เพิ่มเติม Buffer อีกเท่าตัว !
หัวใจหลักของเจ้า OM-1 II ก็ยังคงเป็นเซนเซอร์ขนาด Micro Four Thirds Stacked CMOS 20.4 ล้านพิกเซล ตัวเดิมเลยครับ สำหรับใครที่ไม่ทราบเซนเซอร์แบบ Stacked CMOS เป็นประเภทที่สามารถส่งข้อมูลได้ไวกว่าเซนเซอร์ทั่ว ๆ ไป ทำให้ OM-1 II สามารถยิงรัวถ่ายภาพต่อเนื่องได้สูงสุดถึง 120fps กันเลยทีเดียว (แต่เป็นแบบ AF/AE locked ไม่วัดแสงกับ AF ให้ทุกภาพนะครับ)
แต่ถ้าอยากได้แบบ Full AF/AE เต็มระบบก็ยังยิงได้ถึง 50fps และในรุ่นนี้เองครับที่เพิ่ม Buffer ให้มีความจุที่มากขึ้นกว่าเดิม ถ้าเกิดรุ่นเก่ายิง RAW 120fps ได้ 90 ภาพ ก่อนกระสุนจะหมด รุ่นนี้ขยับขึ้นมาถึง 200 ภาพกันเลยทีเดียว และถ้าเอาไปใช้กับโหมดถ่ายภาพต่อเนื่องที่ความเร็วต่ำลงก็จะรัวได้ยาวนานมากขึ้นด้วย
และในการยิงรัวความเร็วสูงยังเป็นแบบไร้ Blackout ไม่มีจังหวะภาพมืดมากวนใจขณะถ่ายด้วยนะครับ แต่ที่เขาปรับปรุงมาเพิ่มคือเมื่อก่อนฟีเจอร์นี้จะทำงานก็ต่อเมื่อถ่ายที่ความเร็วสูงเท่านั้น ตอนนี้การถ่ายภาพต่อเนื่องที่ความเร็วต่ำลงมาจากระดับ 50fps ก็สามารถใช้ได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น 12.5fps หรือ 16 ทำให้เวลาที่ไม่ต้องการรัวขนาดนั้นแต่ก็ยังคงประสบการณ์ถ่ายภาพที่ดีอยู่ไว้ได้เช่นเดิม
Tips: สำหรับใครที่ไม่ทราบ เซนเซอร์ประเภท M4/3 ถ้าเทียบกับฟูลเฟรมแล้ว จะมี Crop factor อยู่ที่ x2 ครับ แปลว่าถ้าติดเลนส์ทางยาวโฟกัส 300mm F4 ก็จะได้มุมภาพประมาณ 600mm บนฟูลเฟรมนั้นเอง แต่ขนาดต้องบอกว่าต่างกันคนละเรื่องถ้าเทียบกับเลนส์ช่วงเดียวกัน ซึ่งเป็นจุดเด่นที่สำคัญของ System นี้เขาล่ะ
ตีบวกระบบโฟกัส
แม้กล้องในระบบ M4/3 จะขึ้นชื่อเรื่องโฟกัสไวอยู่แล้ว แต่ในตอนนี้ระบบโฟกัสได้ถูกยกระดับให้ฉลาดขึ้นไปอีกครั้งจากการใช้ Ai เข้ามาช่วยประมวลผล รวมไปถึงโหมดถ่ายภาพบุคคล Human Detection ที่ถูกเพิ่มเข้ามาแทน Face Detection แบบเดิม ในปี 2024 ต้องบอกว่าแทบไม่ต้องห่วงเรื่องระบบโฟกัสของกล้องแต่ละค่ายแล้วครับ
โดยเฉพาะ OM-1 II ที่เป็นถึงกล้องเรือธง โฟกัส ได้ฉับไว แม่นยำ ไม่งั้นคงเอา 50fps ไม่อยู่ ไม่ว่าจะถ่ายนก, ถ่ายมอเตอร์ไซค์, ถ่ายเครื่องบิน, ถ่ายสัตว์ เจ้ากล้องตัวนี้ทำงานได้อย่างหายห่วงแน่นอน ยิงบวกกับเลนส์เกรดโปรโฟกัสนี่ไวเป็นจรวดเลยครับ
จุดเปลี่ยนสำคัญ ! กับคุณภาพไฟล์ที่ดีขึ้นผิดหูผิดตาจาก M4/3 ในยุคก่อน
ในอดีตสิ่งที่เป็นข้อจำกัดหลัก ๆ ของกล้อง M4/3 ก็คือ ‘Noise’ หรือสัญญาณรบกวนเมื่อดัน ISO ที่สูงมากขึ้น ไม่ต้องดันเยอะแค่ประมาณ 800 ก็น่าจะรู้สึกภาพหยาบ ๆ แล้วด้วยข้อจำกัดของขนาดเซนเซอร์เอง…
แต่กับเจ้า OM-1 II ไม่เป็นแบบนั้นครับ พอเทคโนโลยีการถ่ายภาพถูกพัฒนามาไกลมากขึ้น คุณภาพไฟล์ของ M4/3 นี่ดีขึ้นผิดหูผิดตาเลย จากคนที่ใช้ฟูลเฟรมมาตลอด ดัน ISO กับกล้องตัวนี้เกือบหมื่นภาพที่ได้ก็ยังถือว่าน่าพอใจ
ทดสอบ Noise เริ่มกันด้วย ISO 3200
ISO 8000
กันสั่นหยุดโลก ดีขนาดถือถ่าย Hi-Res 50 ล้านพิกเซล แบบ hand-held ได้ เพิ่มเติม 14-bit multi-shot Raw
กันสั่นที่ชูโรงมาเนิ่นนานก็ไม่ธรรมดา ถือถ่ายเป็นหลักวินาทีได้สบาย ให้ภาพชัดเป๊ะ ซึ่งเขาเคลมว่ามีการตีบวกจากรุ่นก่อน ที่ทำให้ OM-1 II มีชุดกันสั่น 5 แกน ที่ชดเชยสปีตชัตเตอร์ได้สูงสุดถึง 8.5 สต็อปกันเลยครับ
ที่ทำแบบนี้ได้ก็เพราะตัวกล้องมีเซนเซอร์ขนาดไม่ใหญ่มาก มีพื้นที่ให้ชุดกันสั่นทำงานได้อย่างเต็มที่ผิดกับกล้องเซนเซอร์ใหญ่ ๆ ที่มีพื้นที่จำกัด ซึ่งหลักถือถ่ายภาพ Hi-Res 50 ล้านพิกเซล ที่เป็นการขยับเซนเซอร์ถ่ายหลาย ๆ ภาพมารวมกัน ให้สีสัน ดีเทลที่ดีกว่าด้วยมือเปล่าได้อีก ถ้าคิดว่าภาพ 20 ล้านพิกเซลไม่พอก็จัด 50 ล้านไปเลย !
แถมรุ่นนี้ยังเพิ่มเติมโหมด 14-bit multi-shot Raw ที่ 80 ล้านพิกเซล เมื่อใช้ร่วมกับขาตั้งด้วยนะ !
ภาพจาก OM System OM-1 II
ทิ้งท้ายด้วยโหมดใหม่ Graduated Neutral Density filter
คนที่ใช้กล้อง Olympus หรือ OM System น่าจะคุ้นเคยกับโหมด Live ND ภายในตัวกล้องโดยที่ไม่ต้องติดฟิลเตอร์ ND ลดแสงจริง ๆ ที่หน้าเลนส์กันอยู่แล้ว แต่ OM-1 II มาเหนือกว่านั้นครับ มี Graduated ND ใส่มาให้ด้วย แบ่งซีกได้อิสระสาย Landscape น่าจะต้องถูกใจ แถมปรับเลือกได้จะเอา GND เบอร์ไหน 2 (1EV), 4 (2EV), 8 (3EV) แถมมีผลในไฟล์ RAW ด้วยนะครับ
แถมยังไม่พอ Live ND ปกติยังเพิ่มการตัดแสงขึ้นอีก จากเดิมสูงสุด N64 ตอนนี้ทำได้ที่ N128 เรียบร้อยแล้ว !
สรุป OM System OM-1 II เหมาะกับใคร ?
OM System OM-1 II เรียกว่าทำมาตรฐานของกล้อง M4/3 ยุคใหม่ได้ดีทีเดียวครับ ถ้าไม่นับระบบโฟกัสกับกันสั่นที่ดีอยู่แล้ว เรื่องไฟล์นี่คือสำคัญมาก ๆ ซึ่งการที่สามารถดัน ISO สูง ๆ แล้วได้ไฟล์ที่ดีขึ้นขนาดนี้ก็ถือว่าน่าประทับใจไม่น้อยเลยล่ะครับ ส่วนแบต 1 ก้อนจากความรู้สึกว่าใช้ได้นานเหมือนกันนะ ยิ่งถ่ายรัวกดไปเป็นพัน ๆ กลับบ้านมาแบตยังลดไม่ถึงครึ่ง !
กับขนาดตัวที่เล็กพกพาสะดวก แถมถ้าเทียบกับ System อย่าง Full frame แล้วเลนส์ช่วงเดียวกัน M4/3 นี่ขนาดตัวเล็กลงไปเป็นเท่าตัวเลยล่ะครับ สายถ่ายนกหรือถ่ายกีฬาน่าจะชอบ หรือคนที่อยากได้กล้องเล็กเบาพกพาสะดวก ไม่เน้น DOF หรือละลายหลังมาก แต่อยากได้ฟิลลิงการใช้งาน และความเร็วระดับโปรก็น่าจะถูกใจเหมือนกัน
ระบบเล็กเบา ข้อได้เปรียบที่ System อื่นทำไม่ได้
ไหนจะเลนส์ในระบบที่น่าสนใจอย่าง M.Zuiko Digital ED 12-100mm F4.0 IS PRO เทียบเท่ากับเลนส์ 24-200mm บนกล้องฟูลเฟรม พกตัวเดียวเที่ยวสบายเลยล่ะครับ System อื่นก็ทำแบบนี้ไม่ได้
หรืออย่างติดเลนส์ fix 30mm F1.4 ไว้ถ่ายละลายหลังสวย ๆ ก็ตัวเล็กเท่านี้เอง
พูดถึงวิดีโอกันบ้างเล็กน้อย…
ส่วนวิดีโอก็ถือว่าเป็นมาตรฐานที่ดีถ่ายได้ถึง 4K60p 10-bit 4:2:2 แต่ก็ยังเป็นสเปกที่รุ่นก่อนก็ทำได้เช่นกันครับ ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรนะ
ราคา
เอาล่ะมาถึงราคาค่าตัวกันบ้าง OM System OM-1 II มีราคาเฉพาะบอดี้อยู่ที่ 99,990 บาท แม้จะดูสูงไปสักหน่อย อีกนิดแตะแสนกันแล้ว แต่ถ้าเทียบกับสิ่งที่ให้มา บอดี้เข้ามือสุดทนทาน การถ่ายภาพความเร็วสูงขนาดนี้ ฟีเจอร์อื่น ๆ อย่างกันสั่น 5 แกนในตำนาน หรือ Live ND, Live GND ประโยชน์จาก System ที่พกพาสะดวกไม่เป็นภาระในการเดินทางมากนัก อันนี้ก็ถือว่าคุ้มค่าทีเดียวครับ
สุดท้ายต้องขอบคุณ BIG Camera และ Piccasus ตัวแทนจำหน่ายกับผู้ดูแลแบรนด์ OM System ด้วยครับที่ส่ง OM-1 II มาให้เรารีวิวในครั้งนี้ 🙏