
Our score
8.7Marshall Monitor III A.N.C.
หูฟังราคา 12,990 บาท สุดเท่ แค่ใส่ก็ดูดีแล้ว
จุดเด่น
- ตัวหูฟังดีไซน์สวยงาม ดูเท่ดุดัน พร้อมเคสแข็งบุกำมะหยี่สีแดงที่แปลกตา
- แบตเตอรี่ 70 ชั่วโมงถ้าเปิด ANC และ 100 ชั่วโมงถ้าปิด ANC
- ลักษณะเสียงเป็นเอกลักษณ์ของมาร์แซล ให้เสียงแผด ๆ เหมาะกับเพลงร็อก
- ฟังแบบมีสายก็ได้ ผ่านสาย 3.5 mm to USB-C ที่มีมาให้ในกล่อง
- การควบคุมหูฟังทำได้เข้าใจง่าย จำง่าย กดไม่พลาด ด้วย Control Knob สีทองเหลืองที่สั่งงานได้สารพัด มีปุ่ม ANC แยก แถมมีปุ่ม M ที่ตั้งค่าได้
จุดสังเกต
- การตัดเสียงยังเป็นรองคู่แข่งในระดับราคาเดียวกัน
- ไม่มีฟีเจอร์อัจฉริยะพวกพูดแล้วหรี่เสียงเพลงเอง หรือจูนเสียงตามสถานที่
- ไม่รองรับเสียงระดับ H-Res
-
คุณภาพเสียง
8.0
-
คุณภาพวัสดุ
9.5
-
ความคล่องตัวในการใช้
8.5
-
ความสามารถในการคุยโทรศัพท์
9.0
-
ความคุ้มค่า
8.5
ใคร ๆ ก็รู้จักแบรนด์ Marshall กันนะครับ เพราะในช่วงหลังรุกตลาดลำโพงและหูฟังไร้สายหนักมาก แถมตลาดยังตอบรับดีเพราะงานออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ ดูดุดัน วินเทจและเก๋า และวันนี้เราจะรีวิวหูฟังแบบครอบหูตัวท็อปของค่ายอย่าง Marshall Monitor III A.N.C. กันครับ
ดีไซน์เสริมเอกลักษณ์ให้เด่นขึ้นไปอีก

เมื่อแกะกล่องออกมา ความประทับใจแรกของ Marshall Monitor III A.N.C. คือเคสหูฟังครับ ดีไซน์ไม่เหมือนใครเลย เป็นทรงคล้ายหัวใจแล้วป่องบน-ล่าง ด้านบนมีตัวอักษร Marshall Est. 1962 สีทองอยู่ หูจับซิปก็ทำจากหนัง แล้วเมื่อเปิดออกมาจะเจอหูฟังที่พับอย่างน่าสนใจ ทำให้ขนาดหูฟังเล็กลงมาก แล้วด้านในเคสบุด้วยกำมะหยี่สีแดงเข้มที่ดูหรูหรามาก แล้วภายในด้านบนของเคสจะเป็นกระเป๋าเล็ก ๆ ที่ปิดด้วยแม่เหล็กภายใต้หนังสีดำสำหรับเก็บสายชาร์จหรือสาย 3.5 mm โดยรวมแล้วเราประทับใจดีไซน์ของเคสนี้มาก ถือว่าปรับปรุงเยอะมากจากรุ่นเดิมที่ให้เป็นแค่ถุงผ้านิ่ม ๆ ใส่หูฟัง ติดนิดเดียวที่มันป่องมากไปนิด ทำให้แม้ขนาดเคสไม่ใหญ่แต่แอบหนาครับ
ดีไซน์ตัวหูฟังไม่ต่างจากรุ่นเดิมมากนัก ก็เป็นงานออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ดีอยู่แล้ว คือตัวแป้นหูฟังเป็นพลาสติกแข็งทำลายเลียนแบบหนัง ที่หูฟังด้านขวามีปุ่ม Control Knob สีทองเหลืองที่เป็นเอกลักษณ์ของมาร์แชล ซึ่งทำหน้าที่ได้หลากหลายมากคือ
- กด 1 ครั้ง เพื่อเล่นเพลง/หยุดเพลง, รับสาย/จบสาย
- กด 2 ครั้งหลังจากเปิดหูฟัง เพื่อเข้าโหมดจับคู่ Bluetooth
- กด 2 ครั้งเมื่อสายเข้า เพื่อปฏิเสธสาย
- กดค้าง เพื่อเปิด/ปิดหูฟัง
- โยกขึ้น-ลง เพื่อเร่งเสียง ลดเสียง
- โยกหน้า-หลัง เพื่อเปลี่ยนเพลง ย้อนเพลง

นอกจากนี้ที่ตัวหูฟังยังมีปุ่ม A.N.C. ที่แป้นหูฟังข้างซ้ายสำหรับปรับระหว่างโหมดตัดเสียงรบกวนกับโหมด Transparency และปุ่ม M ที่แป้นหูฟังข้างขวา ที่สามารถตั้งได้ว่าจะให้ทำอะไร ซึ่งค่ามาตรฐานจะเป็นการเรียกใช้ Spotify Tap กดเพื่อเล่นเพลงที่คาดว่าเราจะชอบและเหมาะกับช่วงเวลานี้ของวันออกมา แต่ถ้าไม่ได้ใช้ก็สามารถเปลี่ยนการทำงานของปุ่ม M ให้เปลี่ยน EQ ตามที่เซตไว้ หรือเปลี่ยนโหมด Soundstage ให้เสียงกว้างขึ้น หรือจะใช้เรียกผู้ช่วยส่วนตัวจากโทรศัพท์ก็ได้ครับ
และหูฟังรุ่นนี้ชาร์จด้วยพอร์ต USB-C ครับ ซึ่งพอร์ตนี้ยังใช้เสียบสายเสียงแบบ 3.5 mm to USB-C ที่แถมมาในกล่องด้วย ทำให้สามารถรับสัญญาณเสียงผ่านสายได้ด้วย
สิ่งที่พิเศษอย่างหนึ่งของ Marshall Monitor III A.N.C. คือแป้นหนังนิ่ม ๆ ของหูฟังสามารถหมุนออกมาเปลี่ยนได้ครับ ซึ่งใครที่เคยใช้หูฟังแบบครอบหูมาจะรู้ว่าสิ่งที่พังง่ายที่สุดของหูฟังคือแป้นนิ่ม ๆ นี่แหละครับ ส่วนใหญ่จะเจอปัญหาหนังเทียมตรงนี้หลอกออกมาเป็นแผ่น ๆ ซึ่งก็ต้องให้ช่างเปลี่ยนแป้นให้ แต่ของหูฟังรุ่นนี้ ถ้าแป้นเป็นอะไรขึ้นมาก็สามารถหมุนออกและเปลี่ยนอันใหม่ได้ด้วยตัวเองเลย หรือเวลามันสกปรกก็ถอดออกมาทำความสะอาดได้ครับ

แป้นหูฟังตัวนี้ใส่สบายมาก ใส่ต่อเนื่องยาวนานเป็นชั่วโมงก็ไม่รู้สึกว่าร้อนหู
ส่วนความแตกต่างกับหูฟังรุ่นที่แล้วคือน้ำหนักเบาลงเหลือ 250 กรัม เทียบกับ Marshall Monitor II A.N.C. ที่หนัก 320 กรัม ก็ทำให้ใส่ได้สบายยาวนานกว่าเดิม
และแบตเตอรี่ใช้งานได้ยาว ๆ 70 ชั่วโมงถ้าเปิด ANC และไปไกลถึง 100 ชั่วโมงถ้าปิด ANC ถือว่าเป็นหูฟังที่แบตฯ อึดมากรุ่นหนึ่งของตลาดเลย
แอปฯ Marshall Bluetooth
นอกจากการควบคุมที่ตัวหูฟังแล้ว เรายังปรับการตั้งค่าได้ผ่านแอปฯ Marshall Bluetooth ด้วย ซึ่งปรับการทำงานหลายอย่างได้โดยละเอียด คือ



- โหมดตัดเสียงรบกวน ANC ก็เลือกได้ว่าจะตัดเยอะ-น้อยแค่ไหน
- โหมด Transparency ก็เลือกได้ว่าจะดึงเสียงภายนอกเข้ามามากน้อย
- ปรับ EQ ที่มีให้ปรับ 5 band ตามที่ต้องการ หรือจะเลือกจาก Preset ที่มีให้ก็ได้
- เลือกการทำงานของปุ่ม M ว่าจะให้ทำอะไร
- ปรับการทำงานของโหมด Soundstage ว่าจะให้เสียงกว้างขึ้นมากน้อยแค่ไหน
- ปรับระบบรักษาแบตเตอรี่ เช่นปรับให้ชาร์จสูงสุดแค่ 90% ปรับให้ชาร์จช้าลง หรือปรับให้ชาร์จช้าลงอีกเมื่อพบอุณหภูมิสูง เพื่อยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ให้เสื่อมช้าลง
- และแน่นอน สามารถอัปเดต Firmware ของหูฟังผ่านแอปฯ ได้
หูฟังรุ่นนี้ถอดแล้วเพลงจะหยุดให้เองด้วย แต่ไม่มีมีฟีเจอร์อัจฉริยะอย่างพูดแล้วหรี่เพลง เปิดเสียงภายนอกเอง หรือปรับเสียงของหูฟังตามตำแหน่งที่ฟังเพลงเองนะครับ
เสียงของ Marshall Monitor III A.N.C.

เริ่มจากสเปกเสียงกันก่อนนะครับ ในแง่ไดรเวอร์ของ Marshall Monitor III A.N.C. นั้นมีขนาดเล็กลงกว่ารุ่นที่แล้วคือเหลือ 32 mm จากเดิม 40 mm ตอบสนองเสียงช่วง 20 – 20,000 Hz เหมือนเดิม แต่ให้ความดังสูงสุดเพิ่มขึ้นเป็น 117 dB SPL จากเดิม 96 dB SPL ซึ่งดังมาก ไม่ควรใช้งานที่ความดังระดับนี้กันนะ หูจะพังเอา ส่วน Bluetooth รองรับ Auracast ที่ทำให้เชื่อมต่อหูฟังหลาย ๆ ตัวจากแหล่งปล่อยเสียงเดียวกันได้แล้ว ส่วน Codec รองรับเป็น SBC กับ AAC ทำให้ได้เสียงคุณภาพสูงจากทั้ง iPhone และ Android แต่ไม่รองรับเสียงระดับ Hi-Res นะครับ
เสียงจาก Marshall Monitor III A.N.C. ที่ค่ายจะสื่อว่า Marshall Signature Sound ค่อนข้างเป็นเสียงโปร่ง ๆ มีความแผดเล็ก ๆ บุคลิกคล้ายแอมป์กีตาร์ของมาร์แชลครับที่แผด ๆ หน่อย ใน EQ มาตรฐานเราจะรู้สึกถึงเบสน้อยหน่อย ไม่ได้เป็นลูกโต ๆ ที่รู้สึกชัดเจน ซึ่งข้อดีของเสียงลักษณะนี้คือฟังแล้วไม่อึดอัด ไม่ล้าหู และเบสก็มีมากพอที่ยังทำให้เพลงสนุก เสียงกลางที่เป็นเสียงร้องทำได้ดี ให้ความชัดเจนได้ แต่ยังไม่ถึงระดับเรียกว่าให้เสียงหวาน ที่ให้เสียงร้องโดดเด่นออกมา ส่วนเสียงแหลมทำได้ดีเลย เสียงแหลมเป็นประกาย แผ่ออก แถมไม่ใช่เสียงแหลมแบบเสียดด้วย
สรุปลักษณะเสียงมาตรฐานของ Marshall Monitor III A.N.C. เหมาะสำหรับเพลงร็อก ประเภทที่เน้นเสียงลีดกีตาร์ ให้ความแผดของเสียงกำลังสวยเลย
ส่วนโหมด Soundstage เปิดแล้วเสียงจะยิ่งกว้างขึ้นกว่าเดิม อารมณ์เหมือนอยู่ในฮอลล์คอนเสิร์ต ก็ให้รสของเสียงที่แตกต่างจากปกติที่เคย ๆ ฟังกัน ใครเบื่อดนตรีเดิม ๆ ก็ลองเปิดดูได้ครับ แต่สำหรับการฟังเพลงทั่วไปที่อยากเน้นให้เหมือนต้นฉบับ ก็แนะนำให้ปิดไว้ดีกว่าครับ

ส่วนการตัดเสียงรบกวนก็ทำได้ดีกว่ารุ่นที่แล้วครับ ลดเสียงรบกวนรอบข้างไปได้พอสมควร โดยเฉพาะเสียงฮัมของเครื่องยนต์ แต่ถ้าเทียบฟีเจอร์ ANC กับคู่แข่งที่ราคาใกล้เคียงกัน ยังเป็นรองอยู่ ก็ได้ยินเสียงคุยภายนอกระดับที่จับความได้ ส่วนโหมด Transparency ก็ให้เสียงได้เป็นธรรมชาติดีครับ
เสียงไมค์
เราบันทึกเสียงพูดด้วยไมค์ของ Marshall Monitor III A.N.C. จาก iPhone ในห้างที่มีเสียงรบกวนรอบข้างตลอดเวลา ซึ่งก็สามารถจับเสียงพูดได้ดีเลยครับ ฟังออกว่าพูดอะไร และสามารถกรองเสียงรบกวนภายนอกได้ด้วย
สรุป Marshall Monitor III A.N.C. น่าซื้อไหม

การกลับมาครั้งนี้ของหูฟังตัวท็อปค่ายมาร์แชลนั้นน่าประทับใจหลายอย่างครับ ด้านดีไซน์หูฟังยังเท่เหมือนเดิม เพิ่มเติมคือตัวเคสแข็งที่สวยมาก ส่วนในด้านเสียงก็ให้เสียงแผดเล็ก ๆ เป็นเอกลักษณ์ของมาร์แชล ที่แตกต่างจากหูฟังในท้องตลาดที่มักจะเน้นย่านเบส ใครที่รักแบรนด์มาร์แชลก็น่าจะชอบเสียงประมาณนี้ครับ
Marshall Monitor III A.N.C. ราคา 12,990 บาท ถือเป็นหูฟังระดับพรีเมียมที่หน้าตา รูปลักษณ์ไม่ด้อยกว่าใครเลย อาจจะมีเรื่อง ANC ที่ยังตามคู่แข่งบ้าง แต่โดยรวมแล้วดีเลยครับ