Our score
8.4ตู้เย็น Samsung Bottom Freezer
จุดเด่น
- ดีไซน์ใหม่ ย้ายตู้แช่แข็งไปอยู่ด้านล่าง เหมาะมากสำหรับคนที่ใช้ตู้แช่เย็นมากกว่า
- มีช่อง Optimal Freezer เก็บของสดพวกเนื้อสัตว์ได้ดี ไม่แข็งเป็นน้ำแข็ง และรักษาสภาพได้นาน
- การออกแบบตู้เรียบหรู เป็นตู้ทรงสูง สามารถติดตั้งในคอนโดได้เป็นอย่างดี
- ฟังก์ชั่นพื้นฐานครบ ทั้งการกระจายความเย็นทั่วทั้งตู้ หรือการดักกลิ่น
- ราคาคุ้มค่า ถูกกว่าสมาร์ตโฟนเรือธงอีก
จุดสังเกต
- ไม่มีระบบกดน้ำเย็นจากตู้
- ชั้นวางของที่หน้าประตูไม่สามารถปรับระดับชั้นได้
-
ดีไซน์ตัวเครื่อง
9.0
-
ความสามารถเครื่อง
8.0
-
ลูกเล่นพิเศษ
7.0
-
ความคุ้มค่า
9.5
หนึ่งในนวัตกรรมของตู้เย็นที่เปลี่ยนวงการครั้งสำคัญคือการที่ตู้เย็นตามบ้านจะมี 2 ประตูแยกกันชัดเจนระหว่างช่องแช่เย็นกับช่องแช่แข็งนะครับ ซึ่งรูปแบบมาตรฐานของตู้เย็น 2 ประตูคือช่องแช่แข็งจะอยู่ด้านบน ส่วนช่องแช่เย็นจะอยู่ด้านล่าง เพื่อสอดคล้องกับดีไซน์ของตู้เย็น 1 ประตูแบบเดิมที่ช่องแช่แข็งต้องอยู่ด้านบนเสมอ เพราะอากาศเย็นจะหนักกว่าอากาศร้อน ทำให้ต้องทำความเย็นจากด้านบน ให้ลมเย็นตกไปข้างล่าง แล้วรับอากาศร้อนในตู้มาทำให้เย็นต่อ
แต่ Samsung คิดอีกแบบครับ ในเมื่อตู้เย็น 2 ประตูนั้นมีระบบทำความเย็นแยกกันระหว่าง 2 ตู้อยู่แล้ว แล้วคนส่วนใหญ่ก็ใช้ช่องแช่เย็นมากกว่าช่องแช่แข็ง ทำไมจะต้องเอาช่องแช่เย็นไปไว้ข้างล่าง แล้วต้องก้มเยอะเวลาหยิบของในตู้เย็น ก็เอาช่องแช่แข็งไปไว้ด้านล่างแทนเลย (Bottom Freezer) จะได้หยิบของด้านบนถนัดๆ ครับ
ดีไซน์ของตู้เย็น Samsung Bottom Freezer
ตู้เย็น 2 ประตูรุ่นนี้ของซัมซุงนั้นมีให้เลือกด้วยกัน 2 รุ่นย่อยนะครับซึ่งมีสีสันแตกต่างกันคือ
- รุ่นความจุ 305 L (10.7Q) รุ่นนี้จะเป็นสีเทาเข้มครับ
- รุ่นเล็กลงมาหน่อย ความจุ 275 L (9.7Q) รุ่นนี้จะเป็นสีเงิน
แต่ดีไซน์โดยรวมของ 2 รุ่นนี้คือเหมือนกันคือด้านหน้าบริเวณประตูเป็นอลูมิเนียมลายขัดตามแนวนอนทั้งประตูบนและประตูล่าง ซึ่งระหว่าง 2 ประตูนั้นจะมีแถบโคมเมียมสะท้อนแสงเพื่อเป็นสีเน้นขึ้นมาพร้อมคำว่า Digital Invertor เพื่อระบุเทคโนโลยีในตู้เย็น ส่วนตัวตู้ด้านหลังนั้นเป็นโลหะทำพื้นผิวขรุขระแบบหยาบๆ ครับ
ตู้เย็นรุ่นนี้ที่เราได้มารีวิวนั้นประตูเปิดจากด้านซ้ายมาขวานะครับ (มือจับเปิดประตูอยู่ทางซ้ายของตู้เย็น) ก็อาจจะต้องสร้างความคุ้นเคยกันบ้างสำหรับคนที่ใช้ตู้เย็นเปิดขวามาซ้ายโดยตลอดและเวลาวางตู้เย็นก็ต้องคำนึงถึงเรื่องทิศทางในการเปิดประตูด้วยครับ
ขนาดของตู้เย็น Samsung Bottom Freezer รุ่นใหญ่ 10.7Q ที่เราได้มารีวิวนั้น กว้าง 595 mm x สูง 1700 mm x ลึก 663 mm และหนัก 59 kg นะครับ ซึ่งก็เป็นตู้เย็นทรงผอมที่สามารถติดตั้งในคอนโดพื้นที่จำกัดได้ไม่ยากเย็น
โดยรวมแล้วถือว่าตู้เย็น Samsung Bottom Freezer นั้นดีไซน์ได้เรียบหรูทันสมัยครับ เหมาะสำหรับการแต่งบ้านยุคโมเดิร์นที่เฟอร์นิเจอร์ในบ้านเน้นความเนียนหรู น้อยแต่มาก ซึ่งความที่ตู้เย็นตัวนี้ดีไซน์เป็นตู้สี่เหลี่ยมพื้นผ้าแนวตั้ง แถมตัดเหลี่ยมชัดเจน ไม่มีการทำขอบมุมโค้ง ก็ให้ความรู้สึกว่าเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่หนักแน่น เชื่อใจได้ว่าจะทำงานอย่างดีในทุกๆ วันครับ
ว่าด้วยโซนแช่เย็นของตู้เย็น Samsung Bottom Freezer
การทำงานพื้นฐานของตู้เย็นซัมซุงรุ่นนี้คือใช้ Compressor แบบ Digital Inverter ครับ ซึ่งปรับการทำงานอัตโนมัติทำให้ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และรับประกันการทำงานของ Compressor นาน 10 ปี นอกจากนี้ยังมีระบบ All-around Cooling ที่แต่ละชั้นในช่องแช่เย็นจะมีช่องปล่อยลมเย็นออกมา ทำให้ความเย็นกระจายทั่วถึงทั้งตู้ ซึ่งสามารถเลือกระดับความเย็นของส่วนตู้แช่เย็นได้จากสวิทซ์ด้านบนสุดของตู้เย็น ซึ่งจะมีให้เลือก 5 ระดับคือ 1, 2, 3, 5 และ 7 องศาเซลเซียส ซึ่งค่ามาตรฐานจะอยู่ที่ 2 องศาเซสเซียสครับ และยังมีแผ่นขจัดกลิ่น Power Deodorizer อยู่ตรงกลางตู้เย็นด้วย เพื่อจัดการกลิ่นอาหารที่อาจทำให้ผู้ใช้เวียนหัวได้
แต่จุดเด่นของ Samsung Bottom Freezer ที่แตกต่างจากรุ่นอื่นๆ ในตลาดคือช่อง Optimal Freezer ที่อยู่ด้านล่างสุดของช่องแช่เย็น มันเป็นโซนสำหรับเก็บอาหารสดโดยเฉพาะ ซึ่งช่องนี้จะให้อุณหภูมิประมาณ -1 องศาเซลเซียสเพื่อเก็บเนื้อสัตว์หรือของสดให้ยังสดอยู่ โดยยังไม่แข็งเป็นน้ำแข็งไปเสียก่อน ซึ่งหลังจากเราลองใช้มาสักพักก็ประทับใจกับช่องนี้ครับ เพราะสามารถเก็บเนื้อได้เหมือนตู้แช่ในห้างเลย ที่ยังดูมีน้ำมีนวล มีสีสันที่ดี เนื้อยังคงอ่อนนุ่ม ไม่แข็งเป็นน้ำแข็งเหมือนเก็บในช่องฟรีซครับ ซึ่งช่องนี้สามารถปรับระดับการทำงานได้ 3 ระดับ ถ้าเปิดลมเย็นสูงสุดก็เหมาะสำหรับเก็บเนื้อ ส่วนถ้าปรับลมเย็นต่ำสุดก็เหมาะสำหรับเก็บผักหรือนมครับ แต่ก็ต้องอ้างอิงการปรับระดับความเย็นจากคู่มือประกอบนะครับ เพราะระดับของช่องแช่เย็นที่แตกต่างกัน ก็ให้ผลกับช่อง Optimal Freezer ที่แตกต่างกันครับ
ส่วนตำแหน่งชั้นวางด้านในช่องแช่เย็นก็มีชั้นวางของอยู่ 3 ชั้นครับที่ปรับตำแหน่งได้ 5 จุดในตู้ ส่วนที่ประตูก็มีชั้นวางขวดน้ำและเก็บไข่ไก่อยู่ 3 ชั้น แต่ไม่สามารถปรับตำแหน่งได้นะครับ และยังมีช่องแช่ผักอยู่แยกกับโซน Optimal Freezer ครับ
โซนแช่แข็งของ Samsung Bottom Freezer
ส่วนช่องแช่แข็งที่เป็นตู้ที่สองด้านล่างของเครื่องนั้นจะปรับความเย็นแยกจากส่วนตู้แช่เย็นด้านบนนะครับ ซึ่งใช้บาร์สไลด์เลือกระดับความเย็น (บาร์ตัวนี้จะอยู่ในส่วนของตู้แช่เย็น ไม่ได้อยู่ในตู้แช่แข็งนะ) ก็ดูรูปแบบการปรับที่เหมาะสมได้จากคู่มือตู้เย็นเลย
ในส่วนของโซนแช่แข็งของตู้เย็นรุ่นนี้นั้นไม่ได้มีลูกเล่นอะไรที่แพรวพราวมาก มันก็คือช่องแช่แข็งที่เชื่อใจได้ว่าเก็บไอติมแล้วมันจะยังแข็ง 555 แต่ซัมซุงก็ให้ตู้ทำน้ำแข็งเล็กๆ มาด้วย ซึ่งก็ใช้งานได้สนุกดี แค่เทน้ำลงด้านบน รอให้แข็ง แล้วก็บิดน้ำแข็งลงมาเก็บไว้ในกล่องด้านล่างครับ แต่ในคู่มือบอกว่าจะมีบางรุ่นที่มีเครื่องจ่ายน้ำด้วยครับ ก็ลองถามจากพนักงานขายดูนะครับ
สรุปตู้เย็น Samsung Bottom Freezer คุ้มค่า น่าใช้!
ถ้าติดตามแบไต๋มาตลอด เราคงเห็นตู้เย็นที่มีลูกเล่นแพรวพราวกว่านี้กันมาแล้ว แต่นี่คือตู้เย็นที่คนทั่วไปจะซื้อใช้กันจริงๆ ไม่ได้มีลูกเล่นแพรวพราวล้ำสมัย แต่เป็นความสามารถพื้นฐานที่ทุกคนต้องการจากตู้เย็น ซึ่งตามสเปคของตู้เย็นรุ่นนี้คือกินไฟประมาณ 100 W ซึ่งเราเทสต์โดยใช้เครื่องวัดไฟจริงๆ ก็ออกมาราวๆ 90 W- 110 W สำหรับการใช้งานทั่วไปครับ ก็ตรงตามสเปคไฟ
ส่วนราคา ตู้เย็นซัมซุงตระกูลนี้ก็เปิดตัวมาในราคาไม่แพงเลย ถูกกว่าสมาร์ตโฟนตัวท็อปอีกคือ
- รุ่นความจุ 10.7Q สีเทาเข้ม ราคา 16,990 บาท
- รุ่นความจุ 9.7Q สีเงิน ราคา 14,490 บาท
ซึ่งก็น่าจะหาตามท้องตลาดได้ถูกกว่าราคาเปิดตัวอีกครับ สรุปว่าใครที่กำลังหาตู้เย็นความสามารถครบๆ ราคาคุ้มค่า ก็ลองเก็บรุ่นนี้เป็นทางเลือกในใจกันได้นะครับ