เมื่อเอ่ยถึงชื่อ Vivo เชื่อว่าหลายคนน่าจะรู้จุดเด่นของสมาร์ตโฟนแบรนด์นี้เป็นอย่างดี นั่นคือความเทพของกล้องที่เนรมิตภาพถ่ายบุคคลให้ออกมาสวยหล่อราวกับเทพบุตร/เทพธิดา และตอนนี้พวกเขาก็ได้วางจำหน่ายรุ่นใหม่ออกมาเป็นที่เรียบร้อยในชื่อรุ่น Vivo V15 Pro ที่ล้ำเทรนด์มือถือโลกไปอีกขั้น ด้วยการตัดติ่งทิ้งพร้อมนำเทคโนโลยีกล้องหน้า Pop-up กลับมาอีกครั้งแทนที่การเจาะรูฝังกล้องเข้าหน้าจอ! แต่ถ้าเป็นสิ่งที่นอกเหนือจากสิ่งที่เขานำเสนอล่ะจะเป็นอย่างไร? เชิญหาคำตอบได้ในรีวิวนี้เลยครับ

บรรจุภัณฑ์และสิ่งที่ให้มาภายใน

  • สมาร์ตโฟน Vivo V15 Pro
  • ฟิล์มกันรอย (แปะมาให้บนหน้าจอเครื่องตั้งแต่อยู่ในกล่อง)
  • เคสกันกระแทก
  • สาย micro USB (จริงดิ!?)
  • หม้อแปลงจ่ายไฟได้สูงสุด 9V/2A (18W)
  • หูฟังแจ๊ค 3.5 มม.
  • เข็มจิ้มถาดซิมการ์ด

สเปก Vivo V15 Pro โดยระเอียด

  • ระบบปฎิบัติการณ์: Android v9.0 (Pie) พร้อม UI ปรับแต่งเพิ่มเติมเป็น Funtouch OS
  • ถาดใส่ซิม: ใส่ได้ซิมคู่ (Dual Sim), GSM+GSM, Dual VoLTE ต้องเป็นขนาด Nano
  • เครือข่ายสัญญาณ: รับได้ 2G – 4G
  • ขนาดหน้าจอ: 6.39 นิ้ว ประเภท Super AMOLED
  • ชิปประมวลผล: Qualcomm Snapdragon 675
  • ชิปประมวลผลกราฟิก: Adreno 612
  • หน่วยความจำภายใน: 128 GB
  • ความจำเพิ่มเติม: สูงสุด 256 GB
  • แรม: 6 GB
  • แบตเตอรี่: 3700 mAh
  • กล้องหลัง: 48 ล้านพิกเซล F/1.8 (กล้องหลัก) + 8 ล้านพิกเซล F/2.2 (Ultra Wide) + 5 ล้านพิกเซล F/2.4 (Depth Sensor)
  • กล้องหน้า: 32 ล้านพิกเซล + F/2.0 ปรากฎขึ้นแบบ Pop-up
  • พอร์ต: แจค 3.5 มิลลิเมตร, Micro USB 2.0

หน้าจอเต็มตาไร้รอยแหว่งบากกล้องเจาะรูรบกวนใจ!

Vivo V15 Pro ขนานนามหน้าจอใหม่ของเครื่องนี้ว่า Ultra FullView™ Display ที่แปลออกมาในชื่ออลังการได้ว่า อภิมหาหน้าจอที่เห็นได้อย่างครบถ้วน ฟังดูเว่อร์ดีนะ แต่เอาตรงๆ นะพอผู้เขียนได้ลองเอาไปใช้ดู”ความรู้สึกที่ได้จากการมองเห็นนั้นสมบูรณ์ครบถ้วนตามคำโฆษณาเลยล่ะ” เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็ง่าย ๆ ครับ เพราะตัวเครื่องไร้ซึ่งรอยแหว่ง (Notch) และซ้ำยังไม่ทำตามเทรนด์มือถือที่กล้องหน้าเจาะรู หากแต่ได้นำไปซ่อนไว้ใต้ตัวเครื่องในรูปแบบของ Pop-up แทน

รับอรรถรสในการรับชมวิดีโอแบบเต็ม ๆ เพราะไม่มีอะไรมากินจอ!

เต็มตาขนาดนี้อยากโดดลงไหนก็จัดไป!

ซึ่งเมื่อหน้าจอที่มีสัดส่วนการแสดงผลที่ 91.64% Full HD+ (1080 x 2316) บนตัวเครื่องขนาด 6.39 นิ้วที่ยังแสดงผลชุดสีแบบ Super AMOLED อัตราส่วน 19.5:9 ไม่ถูกสิ่งใดบดบังพื้นที่ มันเลยทำให้ประสบการณ์ที่ได้ในส่วนนี้เป็นอะไรที่จรรโลงสายตาและดูสะอาดทุกครั้งที่ได้มองหน้าจอเอามาก ๆ

พื้นผิวฝาหลังเครื่องสวยงาม

ดีไซน์ของตัวเครื่องก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจ เริ่มกันตั้งแต่วัสดุของกรอบเครื่องที่ทำจากพลาสติกโพลีคาร์บอเนตซึ่งจะให้น้ำหนักที่บางเบาแต่มีความเหนียว แข็งแรงและคงทนประมาณหนึ่ง แต่หลักใหญ่ใจความที่ V15 Pro เลือกใช้พลาสติกประเภทดังกล่าวก็เพื่อส่งให้ตัวเครื่องดูสวยเสียด้วยคุณสมบัติที่โปร่งแสงและใสมากกว่าวัตถุดิบประเภทอื่น ๆ (ส่วนอีกข้อน่าจะเป็นเพราะราคาต้นทุนของเครื่อง ซึ่งก็ต้องละไว้ในฐานที่เข้าใจว่าระดับของคุณภาพวัสดุหรืออะไหล่จะสัมพันธ์กับทุนเป็นเรื่องปกติ) โดยสีของตัวเครื่องที่ผู้เขียนนำมารีวิว คือ Topaz Blue (แปลตรงตัวคือบุษราคัมน้ำเงิน) ที่จะไล่เฉดของกลุ่มสีน้ำเงินซ้อนทับกับพื้นผิวอันเป็นเอกลักษณ์ที่ทาง Vivo เรียกว่า Spectrum Ripple อันเป็นเหมือนเส้นของแสงแนวยาวเรียงเป็นคลื่น ๆ ซึ่งเมื่อรวมเข้ากับสีของตัวเครื่องแล้วมันก็ยิ่งดูสง่าน่าหยิบมาโชว์สายตาประชาชีเลยล่ะ

กล้องหน้า Pop-up ขวัญใจสายเซลฟี่!

กล้องหน้าของ V15 Pro มีความละเอียดอยู่ที่ 32 ล้านพิกเซล รูรับแสง f 2.0 ซึ่งแน่นอนว่าพอความละเอียดที่สูงขนาดนั้น ภาพที่ออกมามันก็ย่อมสวยคมชัด เก็บรายละเอียดต่าง ๆ ในภาพได้อย่างยอดเยี่ยม แต่พอไฟล์ละเอียด ถ่ายรูปครั้งหนึ่งได้ไฟล์ใหญ่ 5-6 MB ก็ต้องจัดการกับพื้นที่เก็บภาพกันบ้าง

แต่ไฮไลท์ของกล้องหน้ายังไม่จบเพียงเท่านี้ เพราะมันต้องใช้ควบคู่กับโหมดถ่ายภาพ AI Beauty ที่หากใช้กล้องหน้าถ่าย เราก็จะสามารถที่จะปรับใบหน้าของเราได้ตามใจนึก ไม่ว่าจะคางเรียว, แก้มเล็กลง ตาโต จมูงโด่ง เอาเป็นว่าไม่พอใจใบหน้าของเราในโลกความจริงตรงไหนก็จัดไป ซึ่งกล้องหลังเองก็ยังสามารถใช้โหมดนี้ได้ด้วยเช่นกันโดยจะเป็นปรับแต่งได้ทั้งตัว ตั้งแต่ส่วนสูง ความเรียวของเรือนร่างได้ด้วย แต่ผู้เขียนแนะนำให้ปรับอย่างเหมาะสมนะ ไม่งั้นเดี๋ยวจะกลายเป็นปูโลกเบี้ยวเอา ฮ่าๆ

และอีกหนึ่งข้อครหาในใจหลายคนถึงกล้องหน้า Pop-up ว่าความคงทนของการใช้งานนั้นดีขนาดไหน? ผู้เขียนก็ต้องบอกไว้ตรงนี้เลยกันครับว่า “ไม่ต้องเป็นห่วงไป” เพราะทาง Vivo ได้เคลมเอาว่ากล้องหน้าของพวกเขาตัวนี้ สามารถหุบขึ้นและลงได้กว่า 300,000 ครั้ง ฟังดูอาจจะไม่เยอะหากเทียบจากอะไรในสมัยนี้ที่ต้องถึงแตะล้านไว้ก่อน แต่หากคิดง่าย ๆ ถ้าเราเปิดกล้องหน้าวันละ 100 ครั้ง แล้วหารจำนวนวันออกมา คุณก็จะสามารถเปิดกล้อง Pop-up ตัวนี้ได้นานถึง 8 ปีกว่า ๆ น้อยคนนะที่จะใช้มือถือรุ่นหนึ่งนานถึง 8 ปีเลยล่ะ และอีกทั้งตัวกล้องหน้าก็ยังสามารถใช้นิ้วของเรากดเก็บลงไปเองได้ด้วยนะ

ส่วนความเร็วในการเปิดกล้องหน้าก็หายห่วงได้เช่นกัน เพราะจังหวะการสลับกล้องก็เร็วพอ ๆ กับมือถือทั่วไปนั่นแหล่ะ (อาจจะช้ากว่าหน่อยแต่อยู่ในระดับเสี้ยววินาทีนะ ไม่ได้ห่างกันจนผิดสังเกต) แต่ถ้าเอาไปสแกนหน้าเพื่อปลดล็อกเครื่อง ก็จะรู้สึกว่าช้ากว่ามือถือทั่วไปอยู่นิดหนึ่งเพราะต้องรอกล้องสไลด์ออกมา

กล้องหลัง 3 ตัวที่มีดีไม่แพ้กล้องหน้า!

กล้องหลังของ Vivo V15 Pro มีด้วยกันทั้งสิ้น 3 เลนส์ โดยตัวแรกจะมีความละเอียดอยู่ที่ 48 ล้านพิกเซลพร้อมรูรับแสง f/1.8 แต่จะถ่ายภาพที่ความละเอียด 12 ล้านพิกเซลเป็นหลัก ด้วยการรวม 4 พิกเซลเป็น 1 ทำให้ได้พิกเซลรับแสงที่ใหญ่ขึ้น โดยทำงานร่วมกับกล้อง Depth Sensor ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล เพื่อให้ภาพหน้าชัดหลังเบลอได้เนียนขึ้น ซึ่งรูปที่ถ่ายจากโหมดนี้ก็ยังจะสามารถไปปรับแต่งจุดชัด จุดเบลอได้ในภายหลังด้วย

ส่วนอีกกล้องปิดท้ายจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกเสียจากกล้องมุมกว้างตามเทรนด์โลกหรือ Super Wide Angle ที่มีความละเอียด 8 ล้านพิกเซลนั่นเอง ทำให้ถ่ายภาพในที่แคบๆ ได้สนุกขึ้นอีกเยอะ และกล้องของ Vivo V15 Pro ยังมี AI Super Night Mode เพื่อช่วยในการถ่ายภาพกลางคืนให้สว่างขึ้นอีกด้วย ดูผลงานกันเลยครับ

สเปกจัดเต็มเกินราคา

ด้านสเปกของ Vivo V15 Pro ก็ถือว่าค่อนข้างให้มาเกินราคาครับ ตัวซีพียูใช้ Snapdragon 675 แรม 6GB และหน่วยความจำภายใน 128 GB แต่ถ้าใครยังรู้สึกไม่จุใจ ก็ซื้อ SD Card มาเพิ่มได้สูงสุด 256 GB จัดหนักจัดเต็มกันไปเลย! แถมเราสามารถใส่ได้ 2 ซิมพร้อม MicroSD ด้วยนะ ช่องเสียบมันแยกกัน

ประสิทธิภาพของ Vivo V15 Pro ทดสอบกับ Antutu ได้คะแนน 17013 ก็เร็วหายห่วงสำหรับแอปโซเชี่ยลทั้งหลาย ส่วนถ้าเป็นเกมแห่งยุคอย่าง PUBG หรือ ROV นั้น เฟรมเรตและภาพที่ได้ก็จะถูกตั้งค่าให้อยู่ในระดับที่สูง แต่หากเจอจังหวะที่ยูนิตอยู่รวมกันเยอะ ๆ ก็อาจจะมีเฟรมร่วงหล่นบ้าง

Vivo V15 Pro ยังมีโหมด Game Cube ที่จะเคลียร์โปรแกรมหรือว่าจัดทรัพยากรในเครื่องให้เราเล่นเกมได้อย่างลื่นไหล พร้อมยังสามารถปิดการแจ้งเตือนต่างๆ ในระหว่างเล่นเพื่อตัดปัญหาจุกจิกกวนใจในขณะที่กำลังมันส์อยู่ในโลกของเกมอีกด้วย

จิตใจทำด้วยอะไรทำไมยังเป็น MicroUSB! (เศร้า)

ส่วนข้อสังเกตของ Vivo V15 Pro อยู่พอร์ตที่ยังเป็น Micro USB อยู่เลยครับ จะใช้กับอุปกรณ์เสริมยุคใหม่ๆ ยากหน่อย แต่ก็ยังได้หัวชาร์จเร็วแบบ Dual Engine Fast Charge 9V 2A หรือ 18W นะ ทำให้ชาร์จไฟได้เร็วอยู่ แบตก็อึดอยู่ได้ทั้งวัน และอีกเครื่องคือขนาดเครื่องกับน้ำหนัก ใช้ช่วงแรกอาจรู้สึกตึงๆ มือหน่อย โดยเฉพาะเวลาใส่เคสที่แถมมาครับ แต่ต้องชมตัวตัวเคสเลยว่าสวยกว่าเคสซิลิโคนใสทั่วไป

Vivo V15 Pro สนนราคาอยู่ที่ 14,999 บาท ราคานี้ได้จอ Super AMOLED เต็มจอไม่มีแหว่ง กล้องหน้า Pop-up, กล้องหลัง 3 ตัว สแกนนิ้วที่หน้าจอ พอร์ตหูฟังก็ยังอยู่ ก็ถือได้ว่าเป็นการแลกเปลี่ยนกันอย่างคุ้มค่า (โอ้ยมือถือยุคนี้จะโหดไปไหนกัน!?)