Our score
8.9Plantronics BackBeat PRO 5100
จุดเด่น
- เสียงดี ฟังง่าย โปร่งสดใส เบสมีพอสมควร
- เสียงคุยโทรศัพท์ดีเมื่อเทียบกับ True Wireless ทั่วไป
- หูฟังใส่สบาย ตัวเล็ก ไม่เจ็บหู
- กล่องเล็กกะทัดรัด ไม่มีตกแต่งอะไรเยอะให้ต้องดูแลเป็นพิเศษ
- สั่งงานได้ง่าย ควบคุมระดับเสียงจากหูฟังได้
จุดสังเกต
- ยังใช้ MicroUSB เป็นพอร์ตชาร์จ ไม่ใช่ USB-C
- ไม่มี NFC เพื่อช่วยในการเชื่อมต่อ
- รองรับแค่รูปแบบสัญญาณเสียงแค่ SBC กับ AAC
- ไม่มีระบบตัดเสียงรบกวนแบบ ANC ใช้เพียงจุกแบบ Inear ที่กันเสียงภายนอก
- เคสชาร์จไม่บอกระดับแบตเตอรี่
-
คุณภาพเสียง
8.5
-
คุณภาพวัสดุ
8.5
-
ความคล่องตัวในการใช้
10.0
-
ความสามารถในการคุยโทรศัพท์
8.5
-
ความคุ้มค่า
9.0
หนึ่งในไอเท็มยอดฮิตในยุคนี้คือหูฟังแบบ True Wireless หรือที่พิมพ์ย่อๆ ว่า TWS นะครับ เพราะขนาดมันเล็ก พกติดตัวไปได้ตลอด ฟังเพลงสะดวก ใช้ง่ายไม่มีสายมาวุ่นวายรอบตัวเวลาใช้ แถมมันยังดูดี ดูคูลมากด้วยเวลาใช้ แต่ปัญหาโลกแตกของหูฟังไร้สายที่แท้ทรูคือมันใช้คุยโทรศัพท์ไม่ค่อยได้เรื่องครับ ก็เพราะขนาดที่เล็กมากๆ ของมันนี่แหละทำให้ไมโครโฟนรับเสียงต้องมาอยู่ที่หู ซึ่งห่างจากปากมาก เสียงพูดเลยไม่ชัด จะมีแค่บางรุ่นอย่าง Apple AirPods ที่มีไมค์บีมเสียงชี้ลงมาที่ปากเลย ทำให้คุยโทรศัพท์ได้ดีกว่าชาวบ้านเค้า แต่ AirPods มันก็อ่อนด้อยเรื่องเสียงเพลงที่เสียงธรรมดาไปหน่อย วันนี้เรามีผู้ท้าชิงคนใหม่จาก Plantronics บริษัทผู้ผลิต Headset สำหรับคุยโทรศัพท์มายาวนานที่พัฒนาหูฟัง TWS รุ่นใหม่อย่าง BackBeat PRO 5100 ที่เสียงดี และคุยโทรศัพท์ได้ดีด้วยครับ!
สารบัญเนื้อหา
ประทับใจแรก BackBeat PRO 5100 ขนาดเล็กจัง
- เคสชาร์จหูฟังมีขนาดเล็ก พกพาง่าย
- ฟังต่อเนื่องได้ 6.5 ชั่วโมง และชาร์จผ่านเคสได้อีก 2 รอบ รวมแล้วใช้งานได้ 19.5 ชั่วโมง
- แต่เคสชาร์จใช้พอร์ต MicroUSB ไม่ใช่ USB-C และไม่มี nfc
หูฟังแบบ True Wireless นั้นจะมีส่วนประกอบพื้นฐานอยู่ 2 ส่วนนะครับคือกล่องเก็บหูฟังที่ใช้ชาร์จด้วย และตัวหูฟัง 2 ข้าง ซึ่งความประทับใจแรกของเราคือ Backbeat Pro 5100 มีกล่องเก็บหูฟังขนาดเล็กน่ารัก แถมดีไซน์ก็เรียบๆ เป็นพลาสติกสีดำด้านเสมอกันทั้งชิ้น ด้านบนมีตัวอักษร PLT แสดงแบรนด์เท่านั้น ทำให้พกติดตัวได้ทุกวันโดยไม่ลำบากชีวิต
เมื่อกดปุ่มด้านหน้าของกล่อง ฝาด้านบนก็จะดีดออก เห็นหูฟัง 2 ข้างวางอยู่ภายใน ซึ่งตัวหูฟังจะยึดกับกล่องด้วยแม่เหล็กนะครับ ถึงเราคว่ำกล่องแบบไอติม Dairy Queen หูฟังก็จะไม่ตกออกมา และปุ่มด้านหน้าเคสยังใช้เป็นสวิทซ์เปิดใช้งานหูฟังครั้งแรกด้วย โดยกดค้างนาน 2 วิเพื่อให้เคสเริ่มต้นทำงานเป็นครั้งแรก
ตัวหูฟัง Plantronics BackBeat PRO 5100 นั้นสามารถฟังต่อเนื่อง 6.5 ชั่วโมงต่อการชาร์จ 1 ครั้ง และสามารถชาร์จไฟจากในเคสได้อีก 2 รอบ (ใช้งานได้เพิ่มอีก 13 ชั่วโมง) เพราะฉะนั้นเราสามารถใช้งานหูฟังตัวนี้ได้สูงสุด 19.5 ชั่วโมง (6.5 + 13) ต่อการชาร์จทุกอย่างเต็ม 1 รอบ ซึ่งก็เกินพอสำหรับการใช้งานระหว่างวันครับ เวลารีบ ๆ ก็ยังมีโหมดชาร์จด่วนแค่เสียบหูฟังลงเคส 10 นาทีก็สามารถใช้งานได้อีก 1 ชั่วโมงแล้ว ส่วนถ้าฟังเพลงหนักจริงๆ ก็แค่ชาร์จเคสพร้อมหูฟังก่อนนอนเท่านั้นเอง ก็จะพร้อมใช้สำหรับวันรุ่งขึ้น แต่น่าเสียดายนิดหนึ่งที่ BackBeat PRO 5100 ยังใช้พอร์ตชาร์จที่เคสเป็น MicroUSB ไม่ใช่ USB-C เหมือนหูฟังไร้สายรุ่นใหม่ๆ ซึ่งก็จะเสียบยากกว่านิดหนึ่ง และต้องพกสาย MicroUSB เพิ่มอีก สำหรับคนที่ใช้อุปกรณ์ USB-C อยู่แล้ว นอกจากนี้ยังไม่มี NFC ทำให้การเชื่อม Bluetooth กับโทรศัพท์ก็ต้องใช้วิธีปกติ ไม่สามารถเอาโทรศัพท์มาแตะเคสแล้วใช้งานได้
ดีไซน์ที่แปลกอีกอย่างคือที่ไฟแสดงสถานะการชาร์จของเคสนั้นจะซ่อนอยู่ภายในครับ ถ้าไม่เปิดฝาเคสก็จะมีช่องเล็กๆ ให้มองลอดเข้าไปเห็นไฟชาร์จภายในแบบสลัวๆ ก็ต้องเปิดฝาถึงจะเห็นชัดเจนทั้งไฟสถานะของเคสและหูฟัง ซึ่งหูฟังก็มีไฟข้างละดวง ส่วนที่กล่องชาร์จอีกดวงหนึ่ง บอกสถานะได้แค่กำลังชาร์จกับชาร์จเต็มแล้วเท่านั้น ซึ่งระดับแบตเตอรี่ของหูฟังเราฟังเสียงพูดเวลาเริ่มเสียบหูฟังเข้าไปที่หูได้ หรือดูผ่านแอป BackBeat ในมือถือก็ได้ แต่ของเคสนี่ดูไม่ออกเลยครับว่ามีแบตเตอรี่เหลืออยู่เท่าไหร่ ก็คอยมั่นชาร์จเอาบ่อยๆ แล้วกันครับ
ดีไซน์ตัวหูฟังและการควบคุม BackBeat PRO 5100
- ดีไซน์หูฟังเรียบๆ ใส่เข้าไปในหูแล้วไม่สะดุดตา
- ควบคุมหูฟังได้ง่าย สามารถเพิ่ม-ลดเสียงจากตัวหูฟัง หรือหยุดเพลง เปลี่ยนเพลงได้
- มีแอปช่วยปรับแต่งการใช้งาน และทำให้หูฟัง “พูดภาษาไทย” ได้ด้วย
หูฟังรุ่นนี้เน้นดีไซน์แบบ Low-profile มากครับ เวลาใส่เข้าไปในหูจะไม่ได้เด่นออกมาเหมือนบางรุ่นที่ตัวใหญ่กว่านี้ เอาเป็นว่าใส่แล้วไม่ประหลาดตาครับ ชอบตรงนี้ แม้ว่าตัวหูฟังจะเรียบๆ ไม่มีจุดเกี่ยวยึดหรือ Ear Wing แบบหูฟังรุ่นอื่นๆ แต่เท่าที่เราใส่มาก็กระชับดีครับ ไม่หลุดออกจากหูง่ายๆ แถมยังไม่ทำให้ปวดหูด้วย แต่เรื่องพวกนี้ก็ต้องไปทดลองด้วยตัวเองอีกครั้งครับ เพราะหูของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน
BackBeat PRO 5100 ได้มาตรฐานป้องกันน้ำแบบ IPX4 ซึ่งสามารถสู้เหงื่อ สู้ฝนได้ด้วย ส่วนด้านบนของตัวหูฟังจะเป็นแป้นสัมผัสที่เอาไว้แตะหรือกดลงไปได้ครับ แต่เราว่าแป้นตัวนี้มันติดลายนิ้วมือง่ายไปนิด ก็ต้องคอยเช็ดบ่อยๆ ครับ ส่วนการควบคุมหูฟัง Plantronics BackBeat PRO 5100 นั้นสั่งงานได้หลากหลายมากจากแป้นควบคุมที่หูทั้ง 2 ฝั่งครับ
- แป้นควบคุมที่หูขวา
- กด 1 ครั้งเพื่อเล่นหรือหยุดเพลง
- กด 1 ครั้งเพื่อรับโทรศัพท์
- กด 2 ครั้งเพื่อเปลี่ยนเพลงถัดไป
- กด 3 ครั้งเพื่อย้อนเพลง
- กดค้าง 2 วินาทีเพื่อใช้ Google Assistant หรือ Siri
- กดค้าง 4 วินาทีเพื่อปิด
- แป้นควบคุมที่หูซ้าย
- แตะ 1 ครั้งเพื่อเร่งเสียง
- แตะแล้วค้างเพื่อลดเสียง
- กดค้าง 4 วินาทีเพื่อปิด
ซึ่งการควบคุมนี้สามารถสลับจากหูซ้ายไปหูขวาได้ด้วยการสั่งผ่านแอป เผื่อใครชอบใช้หูซ้ายเป็นหูหลักครับ นอกจากนี้การสั่งงานที่หูซ้ายยังสามารถเปลี่ยนเป็นโหมด My Tap ได้ด้วย คือสามารถกำหนดได้ว่าแตะกี่ครั้งจะทำงานอะไร เช่นเรียก Playlist ของ Spotify หรือเริ่มใช้นาฬิกาจับเวลา โดยผู้ใช้สามารถตั้งค่าเหล่านี้ได้จากแอป BackBeat ในมือถือครับ
นอกจากนี้ที่หูฟังทั้ง 2 ข้างยังมีเซนเซอร์ตรวจจับการสวมใส่ด้วย (Smart sensor) คือเมื่อเราถอดหูฟังออกจากหู 1 ข้าง เพลงก็จะหยุดลง เมื่อใส่กลับเข้าไปอีกครั้งเพลงก็จะเล่นต่อ หรือเมื่อเวลาที่โทรศัพท์ดัง แค่ใส่หูฟังเข้าไปที่หูก็จะสั่งรับโทรศัพท์ให้ด้วย (แต่ต้องรอให้หูฟังจับคู่กับโทรศัพท์เรียบร้อยก่อนนะ ไม่ใช่หยิบหูฟังออกจากกล่องแล้วจะรับสายทันทีทันใด) และเรายังสามารถกำหนดในแอป BackBeat ได้ด้วยว่าเมื่อถอดหูฟังออกหมดจะทำยังไงกับสายที่กำลังคุยอยู่ ค่ามาตรฐานคือจะปิดเสียงไมค์ไป แต่ก็กำหนดให้เอาเสียงกลับคุยต่อที่ตัวโทรศัพท์ก็ได้
ตัวแอป BackBeat ที่ใช้ควบคู่กับหูฟังนั้นมีความสามารถหลายอย่างนะครับ นอกจากใช้เลือกว่าปุ่มอะไรจะใช้ทำงานอะไรแล้ว ยังสามารถสั่งเปลี่ยนภาษาที่หูฟังพูดกับเราเป็นภาษาไทยได้ด้วย (หูฟังจะพูดว่า “เปิดเครื่อง” “แบตเตอรี่สูง” “เชื่อมต่อโทรศัพท์แล้ว” “เชื่อมต่อชุดหูฟังแล้ว” ให้เราเข้าใจง่ายๆ) รวมถึงใช้ตามหาหูฟังที่ลืมทิ้งไว้ด้วยฟังก์ชัน Find my Headset ที่จะบันทึกตำแหน่งสุดท้ายที่เชื่อมต่อกับหูฟังของเราไว้
คุณภาพเสียงเพลงของ BackBeat PRO 5100
- เสียงแบบ Plantronics คือเน้นเสียง Flat มากกว่าเสียงแบบ Colorful
- กันเสียงรบกวนแบบ Passive คือใช้จุกหูฟังกันเสียง ไม่ใช่แบบ Active (ANC)
- รองรับ codec เสียงแค่ AAC และ SBC
Plantronics BackBeat PRO 5100 นั้นใช้ไดรเวอร์ลำโพงขนาดใหญ่ 5.8 mm พร้อมจุกหูฟังแบบ In-ear ที่กั้นเสียงภายนอกได้ ในกล่องจะมีจุกหูฟังให้เปลี่ยนอีก 2 คู่ ที่ดีไซน์จุกของหูฟังรุ่นนี้ประหลาดมาก เพราะจะต้องเปลี่ยนไปทั้งส่วนครอบเลย ไม่ได้เปลี่ยนแค่ตัวจุกอย่างเดียว รวมแล้วผู้ใช้จะได้หูฟัง 3 ขนาดคือเล็ก กลาง ใหญ่ เพื่อเลือกใส่ให้เหมาะกับขนาดหูของเราครับ เพราะจุกหูฟังที่ไม่เหมาะสมจะทำให้เราใส่ไม่สบาย และเสียงไม่ดีด้วย
BackBeat PRO 5100 ให้เสียงโดยรวมในสไตล์ของ Plantronics คือเป็นเสียง Flat เรียบๆ ไม่ได้มีการใส่สีตีไข่ให้ฟังสนุกขึ้นเหมือนหูฟังหลายๆ รุ่น เสียงเบสก็มาครบ มีเยอะกว่าหูพวก Earbud แน่นอน แต่ไม่ได้เน้นให้บึ้มบั้มเกินจริง เสียงกลางเสียงสูงก็ถ่ายทอดออกมาได้ดี ไม่เพี้ยน แต่ก็ไม่ได้คัลเลอร์ฟูล เวทีเสียงก็อยู่ในระดับปานกลาง ไม่แคบจนอึดอัด แต่ไม่ได้กว้างสุดกู่ สรุปคนทั่วไปก็น่าจะชอบเสียงของหูฟังตัวนี้ได้ไม่ยากครับ เพราะมันค่อนข้างคงเสียงต้นฉบับเอาไว้
BackBeat PRO 5100 ไม่มีระบบตัดเสียงรบกวนแบบ ANC หรือ Active Noise Canceling ใดๆ นะครับ การป้องการเสียงรบกวนภายนอกเกิดจากความสามารถของจุกหูฟังล้วนๆ เพราะนั้นมันจะไม่เงียบมากเหมือนหูฟังที่มีระบบ ANC แน่ๆ และมันก็ไม่สามารถเปิดให้เสียงภายนอกเข้ามาในหูได้ด้วย เพราะงั้นเวลาจะฟังเสียงรอบข้างก็ถอดหูฟังออกมาสักข้างจะง่ายที่สุด
และหูฟังรุ่นนี้รองรับ Codec เสียง 2 ตัวคือ AAC ที่ให้คุณภาพเสียงดี เป็นรูปแบบมาตรฐานของ iOS และ Android ส่วนใหญ่ และอีกมาตรฐานคือ SBC ที่เป็นรูปแบบพื้นฐาน ให้เสียงด้อยกว่า AAC นิดหนึ่ง แต่อุปกรณ์ Bluetooth ทั้งโลกรองรับมาตรฐานนี้ครับ ก็ไม่ได้รองรับมาตรฐานอย่าง aptX หรือ LDAC นะครับ ส่วนการเชื่อมต่อนั้นเป็น Bluetooth 5.0 ซึ่งก็เกาะสัญญาณได้เหนียวแน่นดีครับ เราใส่เดินในห้างหลายครั้ง ก็ไม่ค่อยเจอปัญหาสัญญาณกวนจนเพลงกระตุกเท่าไหร่ ส่วนสเปกระบุว่าใช้งานได้ไกลสุด 10 เมตรครับ
ส่วนเรื่องเสียงดีเลย์ อันนี้ทำได้ดีเลย เมื่อดูคลิปผ่าน Youtube หรือดูหนังผ่าน Netflix อันนี้ไม่มีปัญหาเลย เสียงมาตรงปากทั้งหมด แต่การเอาไปเล่นเกม อันนี้บอกเลยว่ายังแทนหูฟังมีสายไม่ได้ เพราะเสียงปืน เสียงต่างๆ ยังช้ากว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงนิดหน่อยครับ
การคุยโทรศัพท์ด้วย BackBeat PRO 5100
จุดเด่นของ BackBeat PRO 5100 คือสามารถเชื่อมต่อหูทั้ง 2 ข้างกับโทรศัพท์ได้อย่างอิสระ ไม่เจาะจงว่าหูข้างไหนเป็นหูหลักหรือหูรอง แค่มันจะนับหูฟังที่หยิบออกจากกล่องมาก่อนเป็นหูหลักครับ เพราะฉะนั้นเราจึงสามารถใส่หูข้างไหนก็ได้เพื่อคุยโทรศัพท์ หรือจะใส่คุยพร้อมกัน 2 ข้างเลยก็ได้ (แต่เราว่าใส่ 2 ข้างเวลาพูดแล้วมันจะอึดอัดครับ เพราะเสียงพูดจะก้องในหัว เลยใช้ข้างเดียวดีกว่า) ซึ่งถ้าฟังเพลงอยู่แล้วคนโทรเข้ามา ก็สามารถถอดหูฟัง 1 ข้างเก็บลงกล่องได้ครับ แต่ควรจะเก็บหูฟังตัวรองลงกล่อง เช่นตอนเริ่มใช้หูฟังเราเอาหูฟังข้างขวามาใส่ก่อน หูฟังข้างขวาจะถือว่าเป็นตัวหลัก ถ้าจะใช้งานข้างเดียว ก็ต้องเก็บตัวซ้ายเข้ากล่องไปครับ เพราะถ้าเก็บตัวขวาไปสัญญาณจะสะดุดมากกว่า
ที่หูฟังแต่ละข้างนั้นจะมีไมค์ 2 ตัวเพื่อรับเสียงและตัดเสียงภายนอกครับ เพราะฉะนั้นหูฟัง 2 ข้างจึงมีไมค์รับเสียงทั้งหมด 4 ตัวเพื่อให้เสียงพูดของเราคมชัดขึ้น ซึ่งหูฟังตัวนี้มาพร้อมเทคโนโลยี WindSmart ของ Plantronics เพื่อตัดเสียงลมเข้าทำให้การคุยภายนอกทำได้ดีขึ้น
โดยรวมแล้ว BackBeat PRO 5100 สามารถคุยโทรศัพท์ได้ดีกว่าหูฟังแบบ True Wireless ทั่วไปครับ เวลาใช้งานก็ไม่ต้องกังวลว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้ยิน แค่พูดดังกว่าปกติหน่อยก็เท่านั้นเอง แต่ถ้าเอาไปเทียบกับหูฟังสำหรับคุยโดยเฉพาะ เช่น Plantronics Voyager 5200 ก็ต้องบอกว่ายังสู้กันไม่ได้นะครับ เสียงพูดไม่ได้เนี้ยบเท่าหูฟังเฉพาะทาง นอกจากนี้ BackBeat PRO 5100 ยังไม่รองรับระบบ Multipoint หมายความว่าเชื่อมต่อ 1 หูกับอุปกรณ์ได้ 1 เท่านั้น ไม่สามารถต่อ 2 อุปกรณ์พร้อมกันแล้วสลับกันใช้ได้ครับ
Plantronics BackBeat PRO 5100 คุ้มกับราคาไหม
BackBeat PRO 5100 นั้นเปิดตัวมาที่ราคา 6,590 บาท พร้อมรับประกัน 2 ปีโดย Systems2000 ผู้จัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการในไทย ซึ่งก็เป็นราคาที่ถูกกว่าหูฟัง True Wireless ตัวท็อปๆ ในตลาด ถ้าใครอยากหาหูฟังที่มีความสามารถกลม ๆ ฟังเพลงก็ดี คุยโทรศัพท์ก็โอเค แถมยังตัวเล็กพกพาง่าย หูฟังรุ่นนี้ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจครับ
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส