Our score
9.4Synology DS920+
จุดเด่น
- ประสิทธิภาพอัปเกรดจากชุดเดิมไปเยอะ ใครที่มองหา NAS ที่มีพลังประมวลผลเยอะหน่อย ต้องสนใจตัวนี้
- ใส่ SSD Cache ได้แบบ M.2 ทำให้ไม่รบกวนช่องใส่ไดรฟ์
- รองรับฮาร์ดดิสก์ได้สูงสุดถึง 9 ตัว ผ่านการต่อกล่อง DX517 เพิ่ม
- ระบบ DSM มีความสามารถสูงและยืดหยุ่น ลงโมดูลเพิ่มความสามารถได้อีกเพียบตามที่ผู้ใช้ต้องการ
- สามารถใช้งานแทนระบบ Cloud บนอินเทอร์เน็ตได้ ซึ่งถ้าใช้พื้นที่จุข้อมูลสูงๆ การลงทุนกับ NAS จะคุ้มค่ากว่าซื้อ Cloud ความจุเยอะๆ มาเก็บไฟล์
จุดสังเกต
- แม้ว่า Synology จะทำให้ NAS ใช้งานง่ายขึ้นมากแล้ว แต่ผู้ใช้ก็ต้องมีความรู้ทั้งเรื่องระบบเครือข่าย การจัดการฮาร์ดดิสก์ถึงจะใช้ NAS ได้อย่างเข้าใจ
- ไม่รองรับการอ่าน exFat ตั้งแต่เริ่ม ต้องเสียเงินซื้อโปรแกรมอ่าน exFat สำหรับ NAS และถ้าเปลี่ยนรุ่น NAS ก็ต้องซื้อสิทธิ์อ่าน exFat ใหม่
- ไม่มีช่อง HDMI จึงไม่ใช่กล่องที่สามารถต่อกับ TV ได้โดยตรง
- ราคาสูง เพราะต้องซื้อฮาร์ดดิสก์แยกอีก
-
ดีไซน์ตัวเครื่อง
9.5
-
ประสิทธิภาพเครื่อง
9.5
-
ความเสถียรของระบบ
10.0
-
ความสามารถพิเศษ
10.0
-
ความคุ้มค่า
8.0
ปี 2020 นี้ Synology เปิดตัว NAS (Network-attached storage) กล่องฮาร์ดดิสก์เชื่อมต่อกับเครือข่ายในตระกูล Plus มาถึง 4 รุ่นนะครับเพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มผู้ใช้ตามบ้านและองค์กรขนาดเล็กที่ต้องการ NAS ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า NAS ทั่วไป ซึ่งวันนี้ #beartai จะรีวิวเจาะลึกตัวท็อปในกลุ่มนี้คือ Synology DS920+ ให้อ่านกันครับ
สารบัญเนื้อหา
- J Series คือรุ่นที่ลงท้ายด้วยตัว J เช่น DS220J หรือ DS120J ถือเป็นรุ่นเล็กที่สุด ราคาประหยัดที่สุด ดีไซน์มาสำหรับกลุ่มผู้เริ่มต้นใช้ NAS ที่ต้องการใช้เพื่อเก็บข้อมูลเป็นหลัก หรือใช้งานแทน External Harddisk เพราะมีประสิทธิภาพไม่มากนัก รองรับผู้ใช้พร้อมกันได้ไม่มาก และไม่เหมาะสำหรับใช้สตรีมไฟล์วิดีโอที่ต้องเข้ารหัสใหม่
- ในกลุ่ม J จะมีตระกูล slim ที่เป็น NAS กล่องเล็กพิเศษ ใส่ไดรฟ์ขนาด 2.5 นิ้วเท่านั้น สำหรับคนที่ต้องการอุปกรณ์ตัวเล็กๆ
- Value Series รุ่นกลางที่เหมาะสำหรับการใช้งานที่หลากหลายขึ้น โดยจะมี 2 ระดับย่อยคือ
- รุ่นที่ลงท้ายด้วย Play ที่เพิ่มเติมประสิทธิภาพด้าน Multimedia เข้ามา เช่น DS218Play, DS418Play
- รุ่นที่ไม่มีอะไรลงท้าย เช่น DS218, DS118 ก็จะเป็นรุ่นที่ประสิทธิภาพดีขึ้นแต่ไม่ได้เน้น Multimedia
- Plus Series รุ่นที่ลงท้ายด้วย + คือรุ่นท็อปที่อัดสเปกมาให้มากที่สุด ทั้ง CPU และ RAM จะเยอะกว่ารุ่นอื่น ๆ ในเลขเดียวกัน เหมาะสำหรับงานตั้งแต่ในบ้านถึงองค์กรขนาดย่อม ๆ รองรับผู้ใช้พร้อมกันได้มาก
สเปกของ Synology NAS 2020 Plus Series 4 รุ่น
ในปี 2020 นี้ Synology ออก Plus Series มา 4 รุ่นคือ DS920+, DS720+, DS420+ และ DS220+ ซึ่งมาแทนรุ่น DS918+, DS718+ และ DS218+ เดิม โดยรหัสตัวเลขของ Synology นั้นตีความไม่ยากครับ เลข 2 ตัวหลังคือปีที่ผลิตภัณฑ์นั้นออกมา (ในที่นี้คือ 20 คือปี 2020 หมด) ส่วนตัวเลขด้านหน้าที่เหลือคือจำนวนไดร์ฟที่รองรับ คือ
- DS420+ กับ DS920+ จะมีหน้าตาเหมือนกัน ที่ตัวเครื่องจะใส่ได้ 4 ไดรฟ์เหมือนกัน แต่รุ่น DS920+ จะสามารถต่อกับ Synology DX517 กล่องใส่ฮาร์ดดิสก์เสริมผ่านพอร์ต eSATA ได้ ทำให้ใส่ไดร์ฟได้สูงสุดเป็น 9 ตัว
- DS220+ กับ DS720+ มีหน้าตาคล้ายกัน โดยรุ่น DS220+ จะมีฝาครอบด้านนอกเหมือนรุ่น DS218+ ที่โชว์ในรูปด้านบน แต่รุ่น DS720+ จะเป็นช่องเสียบฮาร์ดดิสก์แบบ Hot-Swap แบบช่องของ DS920+ และต่อกล่องฮาร์ดดิสก์เสริมได้ด้วย
เทียบความต่าง 4 รุ่นของ Synology Plus Series ปี 2020
DS920+ | DS720+ | DS420+ | DS220+ | |
---|---|---|---|---|
จำนวนช่องใส่ฮาร์ดดิสก์ในตัว | 4 | 2 | 4 | 2 |
CPU | Intel Celeron J4125 | Intel Celeron J4125 | Intel Celeron J4025 | Intel Celeron J4025 |
RAM (แบบ DDR4) | 4 GB | 2 GB | 2 GB | 2 GB |
จำนวน RAM สูงสุด | 8 GB (4+4 GB) | 6 GB (2+4 GB) | 6 GB (2+4 GB) | 6 GB (2+4 GB) |
พอร์ตของเครื่อง | 2 x USB 3.0 1 x eSATA | 2 x USB 3.0 1 x eSATA | 2 x USB 3.0 | 2 x USB 3.0 |
พอร์ต LAN | 2 x 1GbE | 2 x 1GbE | 2 x 1GbE | 2 x 1GbE |
ช่อง M.2 NVMe SSD ในตัว | 2 ช่องแบบ 2280 | 2 ช่องแบบ 2280 | 2 ช่องแบบ 2280 | ไม่มี |
รองรับการต่อกล้องวงจรปิด | ฟรี 2 กล้อง สูงสุด 40 กล้อง | ฟรี 2 กล้อง สูงสุด 40 กล้อง | ฟรี 2 กล้อง สูงสุด 25 กล้อง | ฟรี 2 กล้อง สูงสุด 25 กล้อง |
การรับประกัน | 3 ปี (ซื้อเพิ่มได้ 5 ปี) | 3 ปี (ซื้อเพิ่มได้ 5 ปี) | 3 ปี (ซื้อเพิ่มได้ 5 ปี) | 2 ปี |
ราคา | ~20,000 บาท | ~16,000 บาท | ~18,000 บาท | ~12,000 บาท |
NAS ในตระกูล Plus ของ Synology นั้นใช้หน่วยประมวลผลจาก Intel เป็นหลักนะครับ โดยรุ่นปี 2020 จะอัปเกรดมาใช้ Intel Celeron ในตระกูล J4xxx แทนที่ตระกูล J3xxx ที่ใช้ใน Plus Series รุ่นปี 2018 ซึ่งก็ให้ความเร็วแตกต่างกันเยอะอยู่ ตามตารางนี้ครับ
Celeron J3355 | Celeron J4025 | Celeron J3455 | Celeron J4125 | |
---|---|---|---|---|
ใช้ในรุ่น | DS218+ | DS220+, DS420+ | DS718+, DS918+ | DS720+, DS920+ |
จำนวนแกน | 2 แกน | 2 แกน | 4 แกน | 4 แกน |
ความเร็ว | 2.0 GHz / สูงสุด 2.5 GHz | 2.0 GHz / สูงสุด 2.9 GHz | 1.5 GHz / สูงสุด 2.3 GHz | 2.0 GHz / สูงสุด 2.7 GHz |
micro architecture | Apollo Lake (Goldmont) | Gemini Lake Refresh (Goldmont Plus) | Apollo Lake (Goldmont) | Gemini Lake Refresh (Goldmont Plus) |
Cache | 2 MB | 4 MB | 2 MB | 4 MB |
ผลคะแนน Geekbench 5 แบบ Multicore | 622 | N/A | 1133 | 1563 |
ผลคะแนนจาก Passmark | 1186 | 1825 | 2202 | 3035 |
ช่วงที่วางขาย CPU | Q3/2016 | Q4/2019 | Q3/2016 | Q4/2019 |
ก็จะเห็นได้ว่า Intel Celeron J4xxx ทำคะแนนได้ดีกว่า Intel Celeron J3xxx ราว 40-50% เมื่อเทียบกับรุ่นเดิมในระดับเดียวกันนะครับ
ส่วนการใช้งานด้านการถ่ายโอนไฟล์ การจัดการรูปภาพจำนวนมาก ๆ ทดสอบโดย Synology เอง NAS ตระกูล Plus รุ่นปี 2020 มีประสิทธิภาพมากกว่ารุ่น Plus ปี 2018 อยู่ราวๆ 15% ครับ แต่ถ้าเอาไปทำ Web Server จะมีประสิทธิภาพด้าน PHP เพิ่มขึ้นเท่าตัวเลย ก็เอาเป็นว่าใครใช้งาน NAS หนัก ๆ ก็ต้องสนใจรุ่นใหม่นี้แหละ
พาส่องรอบตัว Synology DS920+
เอาแหละจบเรื่องสเปกของ NAS ชุดใหม่กันแล้ว มาดูหน้าตาของ Synology DS920+ กันบ้าง โดยรวมแล้วเหมือนรุ่น DS918+ เดิมครับ
โดยด้านหน้าประกอบด้วยช่องใส่ฮาร์ดดิสก์แบบ Hot-Swap 4 ช่องที่สามารถดึงออกมาเพื่อติดตั้งฮาร์ดดิสก์เข้าไปได้ง่าย ๆ แบบไม่ต้องขันน็อตสักตัว (สำหรับไดรฟ์แบบ 3.5 นิ้วนะ ถ้าติดตั้งไดรฟ์ 2.5 นิ้วต้องขันน็อตยึดไดรฟ์กับถาดรอง) ช่องฮาร์ดดิสก์เหล่านี้ก็มาพร้อมรูกุญแจเล็ก ๆ สำหรับล็อกไม่ให้คนอื่นเผลอถอดฮาร์ดดิสก์ออกระหว่างใช้งานจนข้อมูลเสียหาย
นอกจากนี้ด้านหน้ายังมีไฟสถานะอีก 5 ดวงเพื่อแสดงสถานะของเครื่องและไดรฟ์ทั้ง 4 แล้วก็มีพอร์ต USB 3.0 สำหรับเสียบอุปกรณ์ภายนอกเพื่อถ่ายโอนข้อมูลเข้า NAS อย่างรวดเร็ว แล้วก็ปุ่มเปิดเครื่องครับ แต่ DS920+ จะไม่มีปุ่มกดให้ Copy ไฟล์ลง NAS ด้านหน้าเหมือน DS220+ นะ
ส่วนด้านหลังจะมีพัดลมขนาดใหญ่ 2 ตัวไว้ระบายความร้อนจากฮาร์ดดิสก์ มีพอร์ต Gigabit LAN 2 ช่องสำหรับเชื่อมต่อเครือข่าย ซึ่งสามารถเสียบ 2 เส้นพร้อมกันเพื่อรวมความเร็วเป็น 2 Gbps (Link Aggregation) หรือทำระบบสำรองเผื่อเครือข่ายล่มไป ก็จะได้ใช้เส้นสำรองได้ (network failover)
นอกจากนี้ก็ยังมีช่อง USB 3.0 อีกช่องสำหรับเสียบอุปกรณ์ภายนอก ซึ่งเรามักจะใช้ช่องนี้เพื่อเสียบกับ UPS สำหรับรายงานสถานะไฟในก้อนแบต และที่พิเศษสำหรับรุ่น DS920+ (และรุ่น DS720+) คือพอร์ต eSATA สำหรับเสียบกับกล่องเสริม Synology DX517 เพื่อต่อฮาร์ดดิสก์เพิ่มอีก 5 ลูกครับ
แล้วเมื่อถอดถาดฮาร์ดดิสก์ออก ก็จะเห็นช่องเพิ่มแรมภายใน NAS ครับ ซึ่งสามารถเพิ่มแรมแบบ DDR4 ได้อีก 4 GB รวมกับของเดิม 4 GB เป็น 8 GB ครับ
และด้านล่างของ DS920+ จะเป็นช่องสำหรับใส่ SSD แบบ M.2 NVMe 2280 จำนวน 2 ช่องเพื่อทำแคชให้อ่าน-เขียนข้อมูลจากไดรฟ์ได้เร็วขึ้นครับ โดยข้อมูลที่ฮาร์ดดิสก์ที่อ่านบ่อยๆ จะเอาไปเก็บไว้ใน SSD เพื่อให้เรียกไฟล์ได้เร็วขึ้น ไม่ต้องรอฮาร์ดดิสก์หมุน และข้อมูลที่จะเขียนลงฮาร์ดดิสก์ก็เอามาพักไว้ใน SSD ก่อน พอฮาร์ดดิสก์ว่างค่อยเขียนลงไป ก็จะทำให้ใช้งานเร็วขึ้นสำหรับคนที่ทำงานแบบอ่าน-เขียนข้อมูลหนัก ๆ ซึ่งที่ต้องใส่ 2 ตัวเพราะว่าระบบจะแยกกันเลยสำหรับ SSD ที่ใช้ทำแคชสำหรับอ่านข้อมูล และ SSD ที่ทำแคชสำหรับเขียนข้อมูล (แต่จะใส่แค่ตัวเดียวก่อนก็ได้ถ้างบไม่ถึง มันก็จะทำเป็นแคชการอ่านก่อน) ซึ่งเมื่อ NAS มีช่องใส่ SSD โดยเฉพาะ ทำให้เราไม่ต้องเสียพื้นที่ของช่องฮาร์ดดิสก์มาใส่ SSD แบบ 2.5 นิ้วเหมือนบางรุ่นครับ (แล้วตอนนี้ Synology ก็ทำ SSD ขายเองแล้วด้วยนะ)
Synology NAS ทำอะไรได้บ้าง
ระบบ DSM ของ Synology นั้นมีความสามารถหลากหลายมากครับ เพราะออกแบบมาเพื่อรองรับผู้ใช้หลายกลุ่ม เริ่มต้นจากการเก็บไฟล์ที่เป็นหน้าที่สำคัญของ NAS ก่อน ก็มีความสามารถที่น่าสนใจดังนี้
- เบสิกที่สุดและใช้เยอะที่สุดคือ เก็บไฟล์และเรียกใช้จากที่ไหนในโลกที่มีอินเทอร์เน็ต จะดาวน์โหลดไฟล์บน NAS จากมือถือ หรืออัปโหลดขึ้นไปเก็บก็ได้ ขอแค่มีอินเทอร์เน็ตก็พอ ซึ่งเราสามารถจัดการไฟล์ที่อยู่ใน NAS ได้หลายวิธี
- จัดการไฟล์ผ่าน Finder ของแมค หรือ Windows Explorer โดยตรง
- ใช้ผ่านหน้าเว็บ ผ่าน Files Station ของ DSM
- จัดการผ่าน FTP ก็ได้สำหรับไฟล์ขนาดใหญ่
- หรือจะใช้ Synology Drive เพื่อซิงก์ไฟล์ในเครื่องกับใน NAS ให้เหมือนกันก็ได้
- ไม่ใช่เจ้าของ NAS ก็เรียกไฟล์ใน NAS ได้ โดยเราสามารถสร้างลิงก์ดาวน์โหลดไฟล์นั้น ๆ ส่งให้คนอื่นเข้ามาโหลดไฟล์ใน NAS ได้
- ซิงก์ไฟล์ไปมาจากบริการ Cloud ต่าง ๆ เช่น Dropbox, Google Drive มาลง NAS ได้เลย
- ข้อมูลใน NAS จะไม่เสียหายง่าย ๆ จุดนี้ต่างจากฮาร์ดดิกส์พกพา เพราะ NAS ไม่ต้องเคลื่อนที่ไปไหนให้เสี่ยง และ NAS อย่าง DS920+ นั้นสามารถใส่ฮาร์ดดิสก์ได้พร้อมกันสูงสุด 9 ตัว แล้วสามารถตั้งให้ข้อมูลมีสำรองไว้ในฮาร์ดดิสก์ลูกอื่น ๆ เสมอ ทำให้แม้ฮาร์ดดิสก์พังไปสักตัว ข้อมูลก็ไม่มีปัญหา
สำหรับคนที่เก็บข้อมูลมาก ๆ เช่นช่างภาพ ช่างวิดีโอที่เก็บไฟล์ระดับหลาย Terabyte การใช้ NAS ก็จะมีค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่าการซื้อพื้นที่ในบริการอย่าง Google Drive, OneDrive นะครับ
ส่วนความสามารถด้าน Multimedia ของ Synology NAS ที่น่าสนใจก็เช่น
- รองรับการสตรีมวิดีโอที่เก็บใน NAS ขึ้นจอทีวี ซึ่งรองรับทั้ง DS Video ของ Synology เอง หรือบริการภายนอกอย่าง Plex
- ทำหน้าที่เป็น iTunes Server ได้ สตรีมเพลงไปยังอุปกรณ์ของแอปเปิ้ล
- มีบริการและแอป DS Photo เพื่อแสดงผลรูปที่เก็บใน NAS อย่างสวยงาม
- ส่วนใครที่ต้องการเก็บภาพจากมือถือก็มีบริการ Moments ที่แบ็กอัปรูปทั้งหมดในมือถือเราไปจัดเรียงใหม่ใหม่อัตโนมัติ แยกใบหน้าคนในรูป แยกวัตถุ แล้วเรียงวัน จัดกลุ่มสถานที่ให้เสร็จสรรพ คิดง่าย ๆ ก็เหมือน Google Photos ที่ไม่ต้องแชร์ข้อมูลให้กูเกิ้ลครับ
- สามารถติดตั้ง Roon Core เพื่อใช้งานกับโปรแกรมเล่นเพลงระดับเทพอย่าง Roon ได้
- โหลดไฟล์จากอินเทอร์เน็ตได้หลายรูปแบบ หลายบริการ มาลง NAS โดยตรงก็ได้
DSM ยังมีความสามารถเชิง Productive อีกมากมายสำหรับการทำงานครับ เช่น
- ใช้ร่วมกับแมคเพื่อเป็นไดร์ฟ Time Machine ได้ โดยข้อมูลจาก Mac จะถูกส่งมาเก็บใน NAS เรื่อยๆ แล้วเมื่อมีปัญหา เช่นไฟล์ถูกลบหรือถูกแก้ไขในแมค จะย้อนข้อมูลเดิมกลับมาได้ผ่านข้อมูลที่เก็บใน NAS
- มีโซลูชั่น Backup ข้อมูลหลายรูปแบบ ตั้งแต่ Backup ธรรมดาผ่าน Hyper Backup หรือระบบ Active Backup สำหรับงานองค์กร
- ทำตัวเป็นเซิร์ฟเวอร์กลางของบ้านหรือบริษัท สร้างระบบ Chat ส่วนตัวที่ไม่ต้องเก็บข้อมูลในเซิร์ฟเวอร์อื่นๆ หรือสร้างระบบ Office ส่วนตัว แก้ไขเอกสารใน NAS ได้ รวมถึงใช้ตั้งระบบเมลส่วนตัวได้ ตั้งระบบเก็บโน้ตส่วนตัวที่บันทึกข้อมูลลงไปแค่ไหนก็ได้
- ทำตัวเป็น Web Server ย่อมๆ ได้
- สำหรับนักพัฒนา ใช้เป็นเซิร์ฟเวอร์ย่อมๆ ได้เลย รองรับเทคโนโลยีพวก Node.js หรือ PHP ด้วย
- เก็บข้อมูลจากกล้องวงจรปิดก็ได้ แล้วมีแอปเรียกดูภาพสด ๆ จากกล้องวงจรปิด
และ Synology ยังพัฒนาความสามารถเหล่านี้ขึ้นไปเรื่อย ๆ ให้เหมาะสำหรับการใช้งานในรูปแบบต่าง ๆ กันครับ เอาเป็นว่าทุกวันนี้ผู้เขียนน่าจะยังใช้ความสามารถของมันไม่ถึงครึ่งเลย เพราะมันเยอะมาก
การอัปเกรดเป็น Synology DS920+
การเทสต์ครั้งนี้เราไม่ได้ติดตั้งระบบใหม่นะครับ แต่ใช้การย้ายระบบ DSM (Diskstation Manager – ระบบปฏิบัติการจัดการ NAS ของ Synology) จาก NAS ตัวเดิมเป็น DS920+ ครับ ซึ่งตัวเดิมนั้นเป็น Plus Series เหมือนกันก็ถอดฮาร์ดดิกส์จาก NAS เดิม มาเสียบ NAS เครื่องใหม่ แล้วกดเซ็ตอัปอีกนิดหน่อยก็ใช้งานได้เลยครับ
ส่วนถ้าเป็นการอัปเกรด NAS ข้ามตระกูล ก็ต้องเช็กวิธีการอัปเกรดที่แน่นอนจากเว็บของ Synology ครับ ซึ่งบางทีมันอาจจะอัปเกรดตรง ๆ ไม่ได้ ก็ต้องใช้วิธีแบ็กอัปข้อมูลทั้งหมดด้วยแอป Hyper Backup ใน DSM ก่อน โดยสำรองข้อมูลไปที่ไดรฟ์ภายนอกหรือฮาร์ดดิกส์ลูกรองใน NAS แล้วค่อยฟอร์แมตฮาร์ดดิสก์ลูกหลัก แล้ว Restore ข้อมูลงในระบบใหม่ครับ (อ่านวิธีอัปเกรดเพิ่มเติมได้ในรีวิว Synology DS218+)
ทดสอบประสิทธิภาพ Synology DS920+
เราติดตั้ง Synology DS920+ ร่วมกับฮาร์ดดิสก์ Toshiba N300 ฮาร์ดดิสก์ที่ออกแบบมาสำหรับใช้งาน NAS โดยเฉพาะ โดยเป็นฮาร์ดดิสก์ขนาด 10 TB 2 ลูก ที่ผูกเป็น Storage Pool เดียวกันด้วยระบบ SHR (Synology Hybrid RAID) และใช้ระบบไฟล์แบบ Btrfs ครับ ซึ่งผลการทดสอบประสิทธิภาพการโอนถ่ายข้อมูลเพียว ๆ ผ่านสาย Gigabit LAN ด้วยโปรแกรม Blackmagic Design Disk Speed Test ได้ความเร็วสูงสุดประมาณ 90 MB/s ครับ ซึ่งถ้าคิดความเร็วสูงสุดตามทฤษฎีของ Gigabit LAN ที่ 125 MB/s ก็ถือว่าเร็วใช้ได้อยู่นะครับ
การทดสอบประสิทธิภาพด้าน Multimedia
เราทดสอบประสิทธิภาพเกี่ยวกับวิดีโอและเสียงเพลงโดยทำงาน 3 ชิ้นพร้อมกันคือ
- เปิดเพลงจาก Roon ซอฟต์แวร์เล่นเพลงชั้นเทพที่ติดตั้งแกนของโปรแกรม (Core) ลงใน NAS เพื่อจัดการเพลงทั้งหมด และใช้หน่วยประมวลของ NAS เพื่อถอดรหัสเพลงเป็นข้อมูลสำเร็จรูปแล้วส่งผ่านเครือข่ายมายังปลายทางเพื่อเปิดฟัง โดยเราเลือกเพลง Hi-Res ในรูปแบบ DSD64 เพื่อใช้กำลังเครื่องสูงสุด
- เปิดวิดีโอระดับ Full HD จาก DS Video อีก 2 สตรีม (พอดีใน NAS มีไฟล์หนังลิขสิทธิ์ละเอียดสุดแค่ Full HD ครับ)
- สตรีมแรกเป็นการเปิดใน iPad ผ่านแอป DS Video
- สตรีมที่ 2 เปิดบนคอมพิวเตอร์ด้วยคุณภาพระดับ High เพื่อให้ NAS เข้ารหัสวิดีโอใหม่ก่อนส่งมา
การทำงาน 3 อย่างนี้พร้อมกันบน Synology DS218+ เดิมที่เราเคยใช้ ผลที่ได้คือภาพวิดีโอบน iPad กระตุกครับ เพราะ CPU ทำงานไม่ทัน (แต่ถ้าเปลี่ยนการดูหนังบนคอมให้เป็นคุณภาพแบบ Original ที่ไม่ต้องเข้ารหัสใหม่ ภาพบน iPad จะไม่กระตุก) ซึ่งเมื่อดูการทำงานของ DS218+ ใน Resource Monitor เห็นว่ากิน CPU ไปเกือบเต็มตลอด ส่วนแรมก็ใช้ไปมากกว่า 50%
แล้วถ้าเป็น Synology DS920+ จะเป็นยังไงบ้าง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเทสต์อย่างเดียวกันนั้นก็ทำงานได้ลื่นหมดครับ ซึ่งเมื่อดู Resource Monitor ก็จะเห็นว่าใช้ CPU ไปไม่ถึง 40% เท่านั้นสำหรับการทำงานแบบเดียวกัน เหลือแรมมากกว่าด้วย เพราะตัว DS920+ มีแรมเริ่มต้นมาให้ 4 GB
ก็ถือว่า Synology DS920+ นั้นให้ประสิทธิภาพมากกว่า Plus Series เดิมอย่างเห็นได้ชัดนะครับ โดยเฉพาะใครที่อัปเกรดจากกลุ่ม CPU แบบ 2 แกนขึ้นมา จึงทำให้ NAS ชุดนี้เหมาะมากสำหรับคนที่ต้องการใช้ NAS เพื่อทำงานหนัก ๆ เช่นการสตรีมหนังไปยังอุปกรณ์หลายตัวพร้อมกัน หรือสำหรับ Power User ที่สามารถการเขียนโค้ด ทำสคริปต์ต่าง ๆ ก็สามารถประยุกต์ใช้ NAS ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นนี้เพื่อทำ NAS ให้เป็นเซิร์ฟเวอร์ส่วนตัว ทำงานได้สารพัดอย่างในบ้านได้สบายๆ ครับ
ราคาของ Synology Plus Series ปี 2020
Synology เปิดตัว NAS Plus Series รุ่นปี 2020 ทั้ง 4 รุ่นด้วยราคาดังต่อไปนี้ครับ
- DS220+ ประมาณ 12,000 บาท
- DS720+ ประมาณ 16,000 บาท
- DS420+ ประมาณ 18,000 บาท
- DS920+ ประมาณ 20,000 บาท
ซึ่งแน่นอนว่า Synology DS920+ คือตัวท็อปของกลุ่มนี้ ถ้างบคุณถึง ก็ได้ทั้ง CPU Intel ประสิทธิภาพสูงที่สุด กับใส่ไดรฟ์ได้มากที่สุด แต่ถ้าต้องการตัวย่อมๆ ลงมา อันนี้ต้องคิดหนักหน่อยแล้วครับ สำหรับผู้ใช้งานตามบ้านทั่วไป ไม่ได้มีผู้ใช้พร้อมกันเยอะ ไม่ได้ใช้งานที่ต้องการความแรง CPU เยอะ ๆ เช่นเปิดหนังทีละจอ DS220+ ก็เอาอยู่ได้สบาย
แต่ถ้าต้องการความแรง แล้วไม่ได้ต้องการจำนวนไดรฟ์เยอะ ก็ดูเป็น DS720+ ได้ครับ ส่วนใครที่ต้องช่องใส่ไดรฟ์มากหน่อย แต่ไม่ได้ต้องการความแรง DS420+ ก็ยังเป็นทางเลือกที่ดีครับ ใครที่สนใจ สามารถขอข้อมูลเกี่ยวกับ Synology NAS Plus Series ชุดใหม่ได้ผ่านเว็บของ Synology เลยครับ
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส