คิดว่า Dell XPS 15 โน้ตบุ๊กสายครีเอเตอร์ ค่าตัวเกือบแสน จะแรงแค่ไหน เอาไว้ทำอะไรบ้าง! วันนี้ผม คิวเตมี จะมาเล่าให้ฟัง!
เปิดดูกล่องสวย ๆ กันก่อน ว่าภายในมีอะไรบ้าง ด้านในก็มีตัวเครื่อง, อะแดปเตอร์ชาร์จไฟ 130W เป็นแบบ USB-C อันนี้เอาไว้ชาร์จมือถือได้ด้วยนะ, ต่อมาเป็นกล่องใส่คู่มือที่หลายคนแทบจะไม่เปิดดู, เขาแถมตัวแปลง USB-C เป็นช่องเสียบ HDMI และ USB-A มาให้ด้วยนะครับ
ดีไซน์
พูดถึงดีไซน์ของ Dell XPS 15 ก็ต้องบอกว่าดูโมเดิร์นเลยล่ะครับ ความเรียบหรูจากโลโก้ที่ด้านหลัง ดูเข้ากับกก ตัววัสดุก็ทำจากอะลูมิเนียมขึ้นรูปแบบชิ้นเดียว ดูพรีเมียม ขอบเครื่องก็เป็นแบบขอบตัดเพชร สัมผัสเรียบเนียน มีเงาสะท้อนครับ
พลิกดูใต้เครื่องก็จะเจอกับโลโก้ XPS เด่น ๆ ตรงกลาง ส่วนตรงนี้ช่องรับลมระบายความร้อน แล้วไประบายออกที่ท้ายเครื่องครับ วัสดุก็เป็นอะลูมิเนียมเหมือนกันครับ
หน้าจอ
มาดูด้านในกันบ้าง เปิดฝาขึ้นมาก็จะเจอหน้าจอทัชสกรีนขนาด 15.6 นิ้ว สัดส่วนแบบ 16:10 ความละเอียด 4K+ ที่เติม Plus มาด้วย เพราะมีพิกเซลหรือความละเอียดมากกว่าจอ 4K ทั่วไปถึง 921,600 พิกเซล วัดจากตาผม ก็คมกว่าเล็กน้อย
ด้านประเภทของจอก็เป็น WVA (Wide Viewing Angle) สามารถให้ขอบเขตการแสดงสีสัน Adobe RGB ได้ถึง 100% ส่วน DCI-P3 ที่ใช้ในวงการภาพยนตร์ก็อยู่ที่ 94% ซึ่งเราสามารถปรับจูนสีจอแบบง่าย ๆ ผ่าน Dell PremierColor ได้ทันทีเลยครับ มีโปรไฟล์ให้เลือกเยอะเลย ก็เรียกได้ว่าเป็นจอสีตรง ที่เอาไปทำงานที่ต้องการความแม่นยำในการแสดงสีได้สบาย ๆ เช่น Graphic Design, Photographer, Video Editor
และนอกจากนี้แล้ว การแสดงผลจอ ยังมีเทคโนโลยี Dolby Vision อีกด้วยนะปกติจะเห็นในวงการทีวี แต่นี่อยู่ในหน้าจอโน้ตบุ๊กครับ ความดีงามคือจะเข้ามาช่วยเรื่อง HDR ช่วยให้แสดงรายละเอียดแสง-สี ในส่วนสว่าง และมืดได้ดี อย่างที่เห็นในคลิปที่ผมกำลังเปิดอยู่เลยครับ นอกจากนี้ผ่านมาตรฐาน DisplayHDR 400 จาก VESA ด้วยนะ
ลองมาดูใน YouTube บ้างว่าเป็นอย่างไร มุมขวามีสัญลักษณ์ HDR อันนี้แปลว่าจอรองรับครับ ส่วนถ้าเป็น NetFlix ก็จะมีสัญลักษณ์ Dolby vision ให้เห็นก่อนดูครับ
พูดถึงขอบจอ ก็บางแบบทั้ง 4 ด้าน อันนี้เรียกว่า InfinityEdge แต่เห็นบาง ๆ แบบนี้ก็มีกล้องหน้า Infrared 720p มาให้ด้วยนะ ถ้าไม่สังเกตไม่เห็นเลย ส่วนไมโครโฟนอันนี้จะอยู่ใกล้ ๆ กันครับ คุณภาพวิดีโอก็ถือว่าไม่ค่อยคมชัดเท่าไรครับ และถ้าแสงไม่พอหน้าก็จะมืด ๆ เลย
นอกเหนือจากนี้ ตัวกล้องยังสามารถปลดล็อกด้วยใบหน้าผ่าน Windows Hello ด้วยนะครับ แต่ถ้าใครจะปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือก็ทำได้เหมือนกัน แตะนิ้วปุ่มตรงคีย์บอร์ดได้เลย ทั้งสองวิธีก็ปลดล็อกได้อย่างรวดเร็วเลยครับ
คีย์บอร์ด
สำหรับคีย์บอร์ดรุ่นนี้ก็ถือว่าทำออกมาได้ดีครับ ระยะกดปุ่มก็ไม่ห่างมาก พิมพ์ได้สบายมือ อีกจุดหนึ่งที่ผมเซอร์ไพรส์มาก คือทัชแพทที่อภิมหาใหญ่ ใหญ่จนลากเมาส์จากมุมซ้ายไปมุมขวาได้โดยไม่ต้องยกนิ้วเลย จุดนี้ช่วยให้การควบคุมเมาส์ง่าย เช่น ต้องการจะลากไฟล์ไปใส่โฟลเดอร์ หรือลากฟุตเทจในการตัดต่อวิดีโอแบบนี้ ความรู้สึกผิวสัมผัสก็ลื่นนิ้วดีครับ
เสียง
เรื่องเซอร์ไพรส์อีกอย่างหลังจากที่ผมทดสอบ Dell XPS 15 ก็ต้องบอกว่า ลำโพงเสียงดีมาก เสียงทุกย่านมาครบ โดยเฉพาะเสียงเบสรู้สึกว่ามาเป็นลูก ๆ เลยครับ ปัจจัยที่ทำเสียงดีก็เพราะลำโพงคีย์บอร์ดและข้างเครื่องทั้ง 4 ตัว ได้รับการปรับจูนโดย Waves MaxxAudio Pro และมีซอฟต์แวร์ควบคุมในตัว
โดยเราสามารถปรับแต่งเสียงได้ตามความต้องการเลย นอกจากนี้ยังมี ฟีเจอร์ Waves Nx 3D ระบบจำลองเสียง 3 มิติด้วยนะ การทำงานอาศัยกล้องหน้า Infrared จับตำแหน่งใบหน้าของเรา เพื่อปรับการแสดงเสียงสมจริงยิ่งขึ้นครับ
นอกจากนี้ยังมีโหมด Voice ปรับการรับเสียงของเราให้เหมาะกับสภาพแวดล้อม อย่างผมอยู่ในห้องอัดเสียงก็ปรับเป็นแบบ Recording Studio เสียงที่ออกมาเป็นอย่างที่คุณผู้ชมได้ยินครับ แต่ถ้าใครอยู่ในห้องที่มีเสียงดังเยอะ ๆ ก็สามารถปรับเป็น Loud Office เสียงก็จะดีขึ้นครับ
มาดูตรงที่รองมือกันบ้าง ลวดลายแบบนี้ทำจากคาร์บอร์นไฟเบอร์ (Carbon Fiber) ที่แข็งแรง น้ำหนักเบา ช่วยลดน้ำหนักตัวเครื่องไปได้พอสมควรครับ ชั่งแล้วอยู่ที่ 2010 กรัม พอรวมอะแดปเตอร์เข้าไปก็จะเป็น 2454 กรัม ส่วนความหนาตัวเครื่องอยู่ที่ 18 มิลลิเมตร แม้จะไม่ได้บางเฉียบ หรือเบาหวิว แต่ก็จัดสเปกมาให้แบบเต็ม ๆ ซึ่งเดี๋ยวเราจะมาเล่าให้ฟังอีกที แต่มาดูเรื่องพอร์ตกันก่อนครับ
พอร์ตของ Dell XPS 15 ก็มีช่องหูฟัง 3.5 mm. / ช่องอ่าน SD Card หรือการ์ดใหญ่แบบนี้ ให้มาด้วย ดีจัง! ช่างภาพหรือนักตัดต่อจะชอบช่องนี้เป็นพิเศษเลย เพราะไม่ต้องต่ออะแดปเตอร์เสริม / ถัดมาเป็นช่อง USB-C 3.1 ที่รองรับการชาร์จและจ่ายไฟรวมถึง ต่อจอแยกแบบ 4K หนึ่งจอครับ
หมุนมาอีกฝั่งก็จะเจอกับพอร์ตที่ถือว่าเป็นไฮไลท์ของรุ่นนี้ก็คือ Thunderbolt™ 3 แม้หน้าตาจะเหมือนกับ USB-C แต่ความสามารถสูงกว่าครับ รับ-ส่งข้อมูลได้รวดเร็ว 40Gb/s เพียงพอที่จะต่อจอพ่วงจอ 4K สองจอออกมาผ่านพอร์ตเดียว นอกจากนี้ยังรองรับการชาร์จไฟ และแชร์ไฟไปชาร์จอุปกรณ์อื่น เช่น โทรศัพท์ หรือหูฟังไร้สาย ได้ที่ 15W ด้วยนะ เหมือนกับ PowerBank เลย
ซึ่งอะแดปเตอร์ 130W ที่มีมาให้ก็สามารถเสียบชาร์จกับพอร์ต USB-C ได้ทุกพอร์ตเลยครับ แต่ถ้ามีมือถือก็เอาไว้ชาร์จได้เหมือนกันนะครับ
แต่ถึงอย่างนั้นผมก็มองว่าพอร์ตที่ให้มายังไม่ครบจบในตัว ถ้าใครจะต่อจอแยกแบบ HDMI หรือต่อพอร์ต USB-A ก็ต้องเสียบอะแดปเตอร์ที่เขาแถมมาให้ในกล่องอีกที แต่ถ้าใครไม่ติดเรื่องนี้ข้ามไปได้เลยครับ
สเปก
สำหรับสเปก Dell XPS 15 รหัส 9500 ก็ใช้ซีพียูค่ายฟ้าตัวแรงอย่าง Intel Core i7-10750H ที่มี 6 Core 12 Thread อันนี้ตัวเลขยิ่งเยอะก็ยิ่งประมวลผลได้เร็วครับ เราทดสอบด้วย ก็ฟาดคะแนนแบบ Multi-Core ไป 5989 คะแนน
ส่วนการ์ดจอก็เป็น Nvidia GTX 1650 Ti Max-Q ทำผลทดสอบจาก 3DMark Time Spy Extreme บนความละเอียด 4K ได้ไป 1702 คะแนน แน่นอนว่าสเปกระดับนี้ก็สามารถตัดต่อวิดีโอระดับ 4K ได้สบาย ๆ เปิดดู Playback แบบ Realtime ที่ความละเอียด ½ ได้ลื่น ๆ ซึ่งปกติแล้วหากสเปกไม่แรงจริง การดูตรงนี้จะมีอาการกระตุกครับ
และใครที่ต้องเปิดแท็บเยอะ ๆ หรือเปิดโปรแกรมตระกูล Adobe ที่กินแรมเยอะๆ เช่น Photoshop หรือ Lightroom ไว้หลายโปรแกรม อันนี้ก็ไม่ต้องเป็นห่วงไป เพราะมีแรมถึง 16GB ทำให้สามารถสลับไปมาได้อย่างลื่นไหล
ด้านความจุตัวเครื่องที่ให้มาก็เป็น SSD NVMe M.2 ขนาด 512 GB ทดสอบด้วย CrystalDiskMark ความเร็วการอ่านอยู่ที่ 3078MB/s และการเขียนอยู่ที่ 2757 MB/s ครับ ซึ่งถือว่าสูงมาก ผมทดลองโหลดไฟล์จาก SD Card โดยตรงได้เลยครับ ความเร็วในการดึงไฟล์ก็อยู่ที่ 80MB/s แต่ถ้าเป็นการคัดลอกไฟล์ไดรฟ์ด้วยกันเอง ความเร็วสูงสุดจะดีดไปถึงประมาณ 1,000 MB/s เลยทีเดียวครับ ใช้เวลาโอนไฟล์ 55.4GB ในเวลา 1.40 นาทีเท่านั้นครับ อันนี้น่าจะเหมาะกับสายช่างภาพ หรือตัดต่อที่ต้องรับไฟล์โอนไฟล์ทีละเยอะ ๆ
สำหรับการเชื่อมต่อไร้สายก็มาพร้อมกับ Bluetooth 5.1 เอาไว้เชื่อมต่อเมาส์ไร้สาย และหูฟังไร้สายพร้อมกับสองชิ้น ได้สบาย ๆ เลยครับ
ส่วนการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตใช้ชิปเซ็ต Killer Wi-Fi 6 บนชิปเซ็ต Intel มาพร้อมกับซอฟต์แวร์ Killer Contron Center ช่วยวิเคราะห์การใช้งานอินเทอร์เน็ตของโปรแกรมแต่ละตัว เพื่อการปรับแต่งให้ดีขึ้นครับ หรือถ้าเราอยากจำกัดค่า Upload / j Download หรือ Block การใช้งานอินเทอร์เน็ตก็ทำได้แบบละเอียดเฉพาะโปรแกรมได้เลย
ระบบปฏิบัติการรุ่นนี้ก็มาพร้อมกับ Windows 10 Home และซอฟต์แวร์ My Dell ผู้ช่วยเรื่องความสะดวกในการใช้งานครับ เปิดเข้ามาเราก็จะเจอกับคำแนะนำการใช้งาน เมนูปรับแต่งหน้าจอ และช่องทางติดต่อกับ Support ของ Dell เวลาเครื่องเกิดปัญหา รวมถึงสามารถปรับหรือถ้าอยากจะเชื่อมต่อกับมือถือสมาร์ตโฟน เพื่อเช็ก Notification, แชร์ภาพหน้าจอ หรือโอนไฟล์ไปมาก็มี Dell Mobile Connect มาให้ใช้แบบสะดวก ๆ เลยครับ
แบตเตอรี
พูดถึงเรื่องแบตเตอรีกันบ้าง Dell XPS 15 มาพร้อมแบตความจุ 86WHr. หากใช้งานทั่วไป เช่น พิมพ์งาน บนความละเอียดจอ 4K แบตจะอยู่ได้ราว ๆ 4 ชั่วโมงครับ แต่ถ้าใช้งานหนัก ๆ อย่าง ตัดต่อหรือเรนเดอร์งานแบตก็จะอยู่ได้ประมาณ 1-2 ชั่วโมง อันนี้ถือว่าปกติครับ เพราะว่าเป็นโน้ตบุ๊กที่เน้นประสิทธิภาพจากซีพียูและการ์ดจอตัวเรง บวกกับมีจอคม 4K ด้วยครับ ส่วนการชาร์จแบบ 130W จาก 0-80% ก็ใช้เวลาอยู่ที่ 60 นาที ครับ
ข้อสังเกต
จากที่ผมทดลองใช้มาก็ต้องบอกเลยว่าประทับใจมากครับ ทั้งเรื่องหน้าจอ ดีไซน์ ประสิทธิภาพ แต่ถึงอย่างนั้นก็มีข้อสังเกตมาฝากสองเรื่องครับ หนึ่งคือความร้อน CPU ที่สูงมาก เวลาใช้งานหนัก ๆ ฟาดไปแตะที่ 100 องศาเลย เครื่องแรงจะร้อนก็ไม่แปลกใจครับ แต่อาจจะทำให้ไม่สบายนิ้่วเวลาเครื่องร้อนนาน ๆ เรื่องที่สองคือปุ่ม Power อยู่ใกล้กับปุ่ม Delete ทำให้บางครั้งกดผิดครับ
รีวิวที่ดีก็ต้องมีราคา
Dell XPS 15 รหัส 9500 รุ่นจอทัชสกรีน ได้จอ 4K ซีพียู Intel Core i7-10750H การ์ดจอ GTX 1650 Ti แรม 16GB และความจุ SSD 512GB จะมีค่าตัวอยู่ที่ 79,990 บาทครับ ส่วนรุ่นจอไม่ทัชสกรีนราคาจะลดลงมาเหลือ 69,990 บาทครับ ประกันที่ได้ก็เป็น Premium Support 3 ปี แบบ Onsite Service หรือมาซ่อมให้ถึงบ้านเลยครับ ใครสนใจผมจะขึ้น QR Code ไว้ให้ พร้อมกับลิงก์ในแคปชันครับ