ต้นปีนี้ OPPO ปล่อยหมัดเด็ดรัว ๆ ครับ นอกจาก OPPO Reno5 และ OPPO Reno5 5G ที่เรารีวิวไปก่อนหน้านี้แล้ว วันนี้มาถึงพี่ใหญ่ในตระกูลอย่าง OPPO Reno5 Pro 5G รุ่นที่แรงที่สุด มีดีไซน์พรีเมียมที่สุด พร้อมการถ่ายวิดีโอ Portrait อย่างเจ๋งเหมือนเดิม แถมรองรับ 5G เต็มสูบ
ดีไซน์
จุดที่ OPPO Reno5 Pro 5G แตกต่างจากรุ่นน้องในตระกูลชัด ๆ คืองานออกแบบเครื่องครับ ที่พี่ใหญ่เครื่องนี้มีฝาหลังและกระจกหน้าจอที่โค้งรับกัน หรือที่เรียกว่าจอดีไซน์ 3D curved Super AMOLED ซึ่งให้สัมผัสการจับถือที่พรีเมียมขึ้น เฟรมเครื่องนี่ก็เป็นโลหะแข็งแรงนะครับ และไม่ต้องกลัวว่าจอโค้งแบบนี้จะทำให้มือลั่นไปแตะหน้าจอโดยที่ไม่ตั้งใจ เพราะขอบจอนั้นไม่ได้โค้งเยอะ และ ColorOS 11.1 นั้นจัดการการสัมผัสบริเวณขอบจอที่ดี
โดย OPPO Reno5 Pro 5G นั้นมี 2 สีเหมือนกับ OPPO Reno5 5G นะครับคือสีเงินด้าน Galactic Silver เครื่องนี้ และสีดำเงา Starry Black ที่ผมถืออยู่นี้ครับ ชอบเครื่องไหนก็จัดได้เลย
ซึ่งสีเด่นของ OPPO Reno5 Pro 5G คือ Galactic Silver ที่ไม่ใช่แค่สีเงินสะท้อนแสงธรรมดา แต่ใช้กระบวนการสร้างที่เรียกว่า Diamond Spectrum Process คือกระบวนการเคลือบฝาหลังหลายชั้น ทำให้สีเงินนี้สะท้อนแสงรอบตัวเป็นเฉดสีมากมาย ที่เห็นชัด ๆ ก็สะท้อนเป็นสีเขียว, สีส้ม, สีเหลือง, สีม่วง, สีฟ้า นอกจากนี้ยังมี Reno Glow เคลือบทับอีกชั้น ทำให้ได้ฝาหลังแบบเนื้อทรายละเอียด สัมผัสแตกต่างจากมือถือทั่วไป มีความระยิบระยับแต่ไม่มีรอยนิ้วมือ
OPPO Reno5 Pro 5G นี้หนักแค่ 173 กรัม และเครื่องบางแค่ 7.6 mm ก็ทำให้จับถือได้สบายด้วย
หน้าจอ Super AMOLED ของ OPPO Reno5 Pro 5G นั้นมีขนาด 6.5 นิ้ว ความละเอียดเป็น Full HD+ มาพร้อม Refresh Rate 90 Hz หรือจอนุ่ม เลื่อนหน้าจออะไรก็ลื่นไปหมด ซึ่งเป็นมาตรฐานของสมาร์ตโฟนยุคนี้นะครับ ซึ่งจอนี้ก็ให้ภาพคมชัด สีสันสดใสดีมาก ซึ่งหน้าจอนี้รองรับ Youtube HDR เต็มที่นะครับ เปิดคลิป HDR ได้สวยสด ส่วน Netflix รองรับเป็น HD แต่ไม่รองรับ HDR นะ
นอกจากนี้ใต้หน้าจอนี้ยังมีเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่สแกนได้รวดเร็ว แถมเลือกกราฟิกเวลาสแกนนิ้วได้ตามใจชอบด้วยนะ
มาดูท้ายเครื่องกันบ้าง ก็มีพอร์ต USB-C สำหรับเสียบชาร์จและโอนข้อมูลอย่างเดียวนะครับ ไม่มีพอร์ต 3.5 mm เหมือน Reno5 รุ่นน้องทั้ง 2 รุ่นแล้ว อาจเพราะรุ่นนี้จัดเป็นมือถือกลุ่มพรีเมียมแล้ว เลยตัดช่องหูฟังออก แต่ในกล่องก็ยังแถมหูฟังสำหรับใช้กับช่อง USB-C มาให้นะ
ส่วนลำโพงเป็นลำโพงเดี่ยว ไม่มีลำโพงดอกที่ 2 นะครับ แต่ก็ให้เสียงดังกังวาลใช้ได้ เปิดเพลงฟังในห้องสบาย
แน่นอนว่าเป็นแบรนด์ OPPO ก็ต้องมาพร้อมหัวชาร์จ 65W SuperVOOC 2.0 ชาร์จไวแค่ 30 นาที แบตเตอรี่ 4350 mAh ก็เต็มแล้ว ส่วนการใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน แบตเตอรี่ก็อยู่ได้จบวันดีครับ เพียงแต่ว่าถ้าวันไหนใช้งานหนัก ๆ ถ่ายรูปเยอะ ๆ ก็อาจจะต้องลุ้นจบวันนิดหนึ่ง
แต่ช่องใส่ซิมแบบ 2 ช่องนี้นั้นไม่สามารถใส่ MicroSD เพิ่มได้ด้วย แต่เครื่องนี้ก็มีหน่วยความจำมาให้ 256 GB แล้ว ก็น่าจะเกินพอสำหรับการใช้งานทั่วไป
กล้อง
โหมด Dual-View Video ที่ถ่ายวิดีโอจากกล้องหน้าและกล้องหลังพร้อมกันแบบนี้ครับ ซึ่งผมใช้เสียงจากตัวมือถือเองด้วยนะครับ โดยโหมดนี้สามารถถ่ายวิดีโอได้ทั้งแบบแบ่งครึ่งหน้าจอเป็นกล้องหน้า-กล้องหลัง หรือแบบ Picture in Picture แบบที่ผมกำลังถ่ายอยู่นี้ ซึ่งเลือกเฟรมเป็นวงกลมได้ด้วยนะ ดูสวยแปลกตา แถมผมยังเลื่อนกรอบเล็กนี้ไปมาระหว่างถ่ายได้ด้วย
จะว่าไปโหมด Dual-View นี้เหมาะกับผมเลยนะครับ ผมสามารถถ่ายวิดีโอสัมภาษณ์คนอื่น หรือเล่าเรื่องในชีวิตประจำวันคนเดียวได้ หรือใครจะครีเอทีฟเอาไปสร้างวิดีโอสนุก ๆ เช่นยื่นของไปมาระหว่างเฟรม หรือร้องเพลงคาราโอเกะให้เห็นหน้าพร้อมกัน 2 คนก็ได้นะ
โหมดเด่นต่อมาคือ AI Highlight Video ของ OPPO Reno5 Pro ที่ถ่ายด้วยความละเอียด 1080p 30 fps ครับ ซึ่งโหมดนี้ระบบจะเลือกลักษณะการถ่ายวิดีโออัตโนมัติ 2 แบบไม่ว่าจะย้อนแสงหรือกลางคืนก็ทำให้วิดีโอ คมชัด สว่างเป็นธรรมชาติมาขึ้น ซึ่ง OPPO บอกว่านี่เป็นครั้งแรกในอุตสาหกรรมเลย และโหมดที่ผมถ่ายอยู่นี้คือ Live HDR ที่กล้องจะปรับส่วนมืด ส่วนสว่างอัตโนมัติ ให้ได้ท้องฟ้าที่มีรายละเอียด ส่วนมืดก็ยังมองเห็นแบบนี้ครับ
และอีกแบบคือ Ultra Night Video ที่ระบบจะเลือกให้เองเมื่อถ่ายในที่แสงน้อย ทำให้วิดีโอออกมาสว่างขึ้น
กล้องวิดีโอของ OPPO Reno5 Pro ยังมีลูกเล่นอีกเพียบครับ ทั้งการถ่ายวิดีโอหน้าชัดหลังเบลอที่ออกมาเนียนพอสมควรอย่างที่คุณเห็นอยู่ตอนนี้
หรือโหมดสี AI Color Portrait ที่สามารถถ่ายวิดีโอแบบดูดสีให้มีสีเฉพาะบุคคลเท่านั้น ฉากหลังเป็นขาว-ดำไป หรือจะเลือกถ่ายวิดีโอแบบเก็บเฉพาะสีแดง สีเขียว หรือสีน้ำเงินก็ได้
การถ่ายวีดีโอ
OPPO Reno5 Pro 5G ถ่ายวิดีโอพร้อมมีการป้องกันการสั่นไหวที่ดีนะครับ แต่ถ้าต้องการป้องกันการสั่นไหวมากกว่านี้ ก็สามารถเปิดโหมด Ultra Steady Video 3.0 ช่วยเหลือได้อีก วิ่งถ่ายกันสนุกแหละงานนี้
ส่วนการถ่ายวิดีโอด้วยกล้องหน้านั้นก็เป็นแบบที่คุณๆ เห็นกันอยู่นี่เลย โดยสามารถถ่ายได้ทีความละเอียดสูงสุด 1080p 30 fps ครับ ซึ่งสามารถเปิดโหมด Bokeh ให้ได้ภาพหน้าชัดหลังเบลอก็ได้นะ
โดย Reno5 Pro นั้นสามารถถ่ายวิดีโอได้สูงสุดที่ความละเอียด 4K 30 fps ด้วยกล้องหลังนะครับ แต่การถ่ายวิดีโอในโหมดพิเศษที่เบลอฉากหลัง, ดูดบางสี, Ultra Steady หรือโหมด AI Highlight Video จะสามารถถ่ายได้ที่ 1080p 30 fps เป็นหลักนะครับ และโหมด AI Color Portrait ที่ทำฉากหลังเป็นขาว-ดำ จะสามารถถ่ายได้แค่ 720p 30 fps เท่านั้นครับ ซึ่งรวมถึงกล้องหน้าด้วยที่ใช้ AI Color Portrait ก็จะถ่ายได้ที่ 720p เท่านั้น
นอกจากนี้ระหว่างถ่ายวิดีโอเรายังไม่สามารถซูมภาพสลับไปมาระหว่างเลนส์มุมกว้างกับเลนส์หลักได้นะครับ เริ่มต้นถ่ายเลนส์ไหน ก็ต้องใช้เลนส์นั้นไปจนจบคลิป
การถ่ายภาพ
มาดูเรื่องกล้องภาพนิ่งกันบ้างครับ ชุดกล้องของ OPPO Reno5 Pro นั้นมีสเปกเดียวกับ Reno5 รุ่นน้องครับ คือกล้องตัวบนสุดนี้เป็นเลนส์มุมกว้าง 8 ล้านพิกเซล f/2.2 ตัวกลางเป็นเลนส์หลัก 64 ล้านพิกเซล f/1.7 ตัวล่างเป็นเลนส์มาโคร 2 ล้านพิกเซล f/2.4 ส่วนเลนส์เล็ก ๆ นี้เป็นเลนส์โมโนสำหรับสนับสนุนการถ่ายภาพครับ
ภาพถ่ายจาก OPPO Reno5 Pro 5G ก็ต้องบอกว่าถ่ายสวยและถ่ายง่ายมาก เพราะความฉลาดของกล้องที่มีทั้ง AI Scene Enhancement หรือใช้ AI วิเคราะห์ซีนของภาพ พร้อมระบบ HDR อัตโนมัติ และ Image Clear Engine ที่ลดอาการเบลอของภาพ ทำให้ยกกล้องถ่ายอะไรก็สวย
ถ่ายวิวก็เก็บรายละเอียดภาพได้ดี HDR ช่วยรักษาส่วนสว่างไว้ไม่ให้เบิร์นหายไปหมด แถมยังใช้เลนส์มุมกว้างเพื่อขยายมุมมองในการเก็บภาพเพิ่มขึ้นได้ การถ่ายรูป indoor แสงน้อยก็สามารถเกลี่ยแสงในภาพได้สวยงาม ถ้าใช้ Night Mode ช่วยก็จะสามารถเก็บรายละเอียดภาพทั้งส่วนสว่างและส่วนมืดได้ดีขึ้น ภาพถ่ายอาหารก็สีสันอิ่มแน่นน่ากิน
เนื่องจาก Reno5 Pro 5G นั้นไม่มีเลนส์ซูมภาพโดยเฉพาะ จึงใช้เลนส์หลัก 64 ล้านพิกเซลมาซูมภาพ แต่ด้วยด้วยการประมวลผลที่ซับซ้อนก็ให้คุณภาพภาพที่ดี การซูม 2 เท่ายังรักษารายละเอียดได้ไม่ต่างจากเลนส์ซูมจริง ๆ และการซูม 5 เท่าก็ได้รายละเอียดที่ยังชัดเจนอยู่ครับ
การถ่ายภาพบุคคลนั้นให้สีสันและสีผิวที่ดีมาก เป็นภาพ Portrait ที่ดูโดดเด่น การเบลอฉากหลังก็ทำได้แม่นยำดีสำหรับซีนส่วนใหญ่ นอกจากนี้ยังมีโหมด Night Flare Portrait สำหรับถ่าย Portrait ยามค่ำคืนให้แสงไฟด้านหลังเป็นดวง ๆ และโหมด AI Color Portrait เพื่อทำฉากหลังเป็นขาว-ดำ แต่ยังมีสีที่ตัวแบบได้อีกด้วย
ส่วนการถ่ายภาพกลางคืนด้วย Night Mode จะช่วยดึงรายละเอียดในภาพขึ้นมาได้มาก โดยเฉพาะการถ่ายด้วยเลนส์มุมกว้างมาก ที่จะให้ภาพมืดกว่าเลนส์หลัก การใช้ Night Mode ช่วยจึงทำให้เก็บรายละเอียดในภาพได้มากขึ้น และสุดท้ายการถ่ายภาพระยะใกล้ด้วยเลนส์มาโครโดยเฉพาะ นั้นทำงานได้ดีถ้าอยู่ในที่ที่มีแสงมากครับ แต่ความอิ่มของสีสัน และโทนของภาพนั้นก็ยังสู้การถ่ายด้วยเลนส์หลักไม่ได้อยู่ดีครับ
ส่วนกล้องหน้ามีสเปก 32 ล้านพิกเซล f/2.4 แบบ Fixed Focus ซึ่งเป็นกล้องตัวเดียวกับ OPPO Reno5 5G ครับ ซึ่งก็ให้ภาพ Selfie ออกมาสวยงามเลยครับ โหมด Portrait สามารถเบลอฉากหลังได้กำลังสวย ส่วนถ้าใครไม่ชอบโหมดหน้าสวย ก็สามารถปิดได้ครับ
ประสิทธิภาพ
OPPO Reno5 Pro ใช้หน่วยประมวลผลรุ่นใหม่ รุ่นเรือธง Mediatek Dimensity 1000+ ที่รองรับ 5G กันเต็มสูบ พร้อมแรม 12 GB และหน่วยความจำ 256 GB ซึ่งทำคะแนน Geekbench 5 แบบ Multi-core ไปได้ 2798 คะแนน สูงกว่า Reno5 5G อยู่ 1000 คะแนน
ส่วน 3Dmark ชุด Wildlife Stress Test ทำคะแนนสูงสุด 3282 คะแนน ซึ่งน่าแปลกที่คะแนนกลับมาสูงขึ้นในรอบท้ายครับ ซึ่งประสิทธิภาพสูงกว่า Reno5 5G เท่าตัว ซึ่งความร้อนในระหว่างเทสต์ก็ไม่ได้ขึ้นสูงมากครับ
และการทดสอบกับเกม Genshin Impact เมื่อปรับคุณภาพสูงสุด พร้อมเปิดโหมด 60 fps ก็มีอาการกระตุกบ้างเมื่อหมุนฉาก แต่พอเล่นไปสักพักเมื่อทุกอย่างถูกโหลดเรียบร้อย ภาพจะลื่นไหลขึ้น ไม่รู้สึกว่าเกมกระตุกเท่าในช่วงแรก
ข้อสังเกต
OPPO Reno5 Pro กันบ้าง เราว่าอยู่ที่การสั่นของเครื่องครับ มันบางเบาไปหน่อย หลายครั้งที่ปิดเสียงแล้วใส่กระเป๋ากางเกงมีสายเรียกเข้าก็ไม่รู้ตัว นอกจากนี้เราว่าแอปของ OPPO อย่าง App Market ค่ามาตรฐานจะส่งโนติกวนเยอะไปครับ แต่เราก็สามารถปิดการแจ้งเตือนนี้ได้ด้วยตัวเองครับ
รีวิวที่ดีต้องมีราคา
OPPO Reno5 Pro 5G เปิดตัวที่ราคา 19,990 บาทครับ ก็ถือว่าราคาดีนะครับสำหรับเครื่องที่มีหน่วยความจำ 256 GB และสเปกแรงที่สุดในกลุ่ม Reno5 แล้ว
และพิเศษสำหรับผู้ซื้อ OPPO Reno5 Pro 5G ก่อนวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2564 รับฟรี! บัตร E-VIP และ OPPO Enco Free หูฟัง True Wireless มูลค่ารวม 12,999 บาท
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส