หลังๆ แบไต๋เราจะเน้นรีวิวไปทาง SSD มากกว่านะครับ แต่ External Harddisk ตัวล่าสุดที่ Seagate ไปจับมือกับ Disney เพื่อทำฮาร์ดดิสก์ดีไซน์อิงจาก Star Wars: The Mandalorian มาก็น่าสนใจเพราะมีไฟ RGB ประกอบการใช้งานด้วย ซึ่งไฟนี้สามารถซิงก์กับระบบ Razer Chroma RGB เพื่อให้ไฟซิงก์กับไฟในส่วนอื่นๆ ของเครื่องได้ด้วย เมื่อหน้าตาหล่อขนาดนี้ เราต้องจัดรีวิวกันแล้ว
ที่มาของ Seagate FireCuda Beskar Ingot
Beskar Ingot หรือ Mandalorian iron หรือ Mandalorian steel คือ โลหะมีค่าในจักรวาลสตาร์วอร์สครับ เป็นหนึ่งในโลหะที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวาล สามารถทนปืนบัสเตอร์หรือดาบแสงได้ ใน Star Wars: The Mandalorian จึงใช้แท่งโลหะนี้แทนเงินด้วย
Seagate จึงนำดีไซน์ของ Beskar Ingot มาออกแบบเป็นไดรฟ์พกพาหลายรุ่น (แต่ในไทยมีขายแค่รุ่นนี้ที่เป็นฮาร์ดดิสก์ ไม่มีรุ่น SSD ขาย) ด้วยการออกแบบจากแท่งโลหะ Beskar ในการพิมพ์ตราจักรวรรดิ์ซึ่งปรากฏให้เห็นในซีรีส์เรื่องนี้ เพื่อให้เป็นของสะสมที่พลาดไม่ได้สำหรับสาวกสตาร์วอร์ส
ส่วน FireCuda ก็เป็นซีรีส์ไดรฟ์เก็บข้อมูลประสิทธิภาพสูงของ Seagate ครับ ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มความเร็วสูงกว่า BarraCuda ฮาร์ดดิสก์หรืออุปกรณ์เก็บข้อมูลในกลุ่มสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
ดีไซน์ของ Seagate FireCuda Beskar Ingot
นอกจากดีไซน์ของไดรฟ์รุ่นนี้จะอ้างอิงมาจาก Beskar Ingot ใน Star Wars: The Mandalorian อย่างที่เล่าไปแล้ว ยังมีการติดตั้งไฟ RGB พิเศษไว้ด้านหน้าไดรฟ์ด้วย ซึ่งการใช้งานครั้งแรกจะเป็นไฟสีน้ำเงินนิ่งๆ ให้รู้ว่าเสียบไดรฟ์ติดแล้วพร้อมทำงาน
แต่แน่นอนว่าไฟสีน้ำเงินนิ่ง ๆ มันธรรมดาไป เราสามารถติดตั้งโปรแกรม Seagate Toolkit ลงในคอมพิวเตอร์เพื่อปรับสีตรงนี้ได้ จะเลือกสีเฉพาะที่ชอบ หรือจะให้ขึ้นเป็นสีรุ้งวิ่งไปเรื่อย ๆ หรือจะให้ไฟวูบวาบแบบจังหวะลมหายใจก็ทำได้ทั้งนั้น ส่วนถ้าคอมพิวเตอร์เครื่องไหนใช้งานอุปกรณ์ของ Razer อยู่ก็สามารถเปลี่ยนระบบไฟเป็น Razer Chroma RGB เพื่อซิงก์สีของไฟที่ฮาร์ดดิสก์ให้เข้ากับไฟส่วนอื่นๆ ของเครื่องได้ด้วย เอาใจเกมเมอร์สุด ๆ
นอกจากนี้ด้านหลังของฮาร์ดดิกส์ก็ยังมีลวดลายที่อิงมาจาก Star Wars และในกล่องก็ยังมีสติกเกอร์ธีม Seagate และ Star Wars ให้เอาไปตกแต่งคอมพิวเตอร์เพิ่มเติมด้วย
ประสิทธิภาพของ Seagate FireCuda Beskar Ingot
ฮาร์ดดิสก์รุ่นนี้ใช้พอร์ตเชื่อมต่อเป็น MicroUSB 3.0 โดยปลายสายอีกข้างเป็น USB-A 3.0 ไม่มีพอร์ตหรือสายที่รองรับ USB-C ติดมาในกล่องเลยนะครับ และรูปแบบไฟล์พื้นฐานที่มากับฮาร์ดดิกส์เลยคือ exFAT ถ้าจะใช้เป็น NTFS หรือ APFS สำหรับแมค ก็ต้องฟอร์แมทใหม่นะครับ
โดยเมื่อทดสอบประสิทธิภาพบน Macbook Air M1 ด้วยโปรแกรม Blackmagic Disk Speed Test ก็ได้ผลการทดสอบออกมาตามภาพนี้ โดยได้ความเร็วในการอ่าน-เขียนสูงสุดราว 130 MB/s ซึ่งก็เร็วพอที่จะเอาไปใช้เป็นไดรฟ์ตัดต่องานระดับ 4K 30 fps ได้
ส่วนการทดสอบบน Windows 11 ผ่านโปรแกรม CrystalDiskMark 8 ก็ได้ความเร็วในการอ่าน-เขียนต่อเนื่องราวๆ 140 MB/s ครับ แต่ความเร็วในการอ่าน-เขียนแบบสุ่ม เนื่องจากยังเป็นฮาร์ดดิสก์ก็ทำความเร็วได้ไม่ถึง 2 MB/s เท่านั้นเองครับ
ซึ่งฮาร์ดดิสก์นั้นจะเหมาะกับการใช้งานเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ งานเก็บข้อมูลต่อเนื่อง ถ้าจะใช้งานหนักๆ เรียกไฟล์ใหญ่ๆ มาใช้งานตรง ๆ ผ่านฮาร์ดดิกส์ภายนอก เช่นงานตัดต่อ งานแต่งภาพ หรืองานครีเอเตอร์ต่างๆ แนะนำว่ากัดข้ามไป SSD จะเหมาะกว่าครับ
เปิดความสามารถพิเศษด้วย Seagate Toolkit
สำหรับโปรแกรมคู่บุญที่ใช้งานร่วมกับ Seagate FireCuda Beskar Ingot คือ Seagate Toolkit นะครับ ซึ่งในตัวฮาร์ดดิสก์จะมีโปรแกรมสำหรับพาไปดาวน์โหลดอยู่
ความสามารถของ Toolkit นั้นมีหลากหลายตั้งแต่ Backup และ Restore ข้อมูลลงฮาร์ดดิสก์ โดยก็มีความสามารถพื้นฐานที่ไม่ต้องซื้อโปรแกรมด้านนี้มาทำงาน และยังมีความสามารถ Mirror หรือซิงก์ไฟล์จากคอมพิวเตอร์กับฮาร์ดดิสก์ให้เหมือนกันได้ด้วย ทำให้สามารถใช้ฮาร์ดดิสก์พกพาเป็นตัวแทนข้อมูลที่อยู่ในเครื่องได้เลย พอแก้ไฟล์ในคอมพิวเตอร์ก็จะซิงก์ไปฮาร์ดดิสก์ แล้วถ้าไฟล์ในฮาร์ดดิสก์ถูกแก้ ก็จะซิงก์ไฟล์กลับไปที่คอมพิวเตอร์เมื่อเสียบใช้งานครั้งต่อไปด้วย
และความสามารถที่สำคัญคือการปรับแต่งสีไฟของฮาร์ดดิสก์ ทั้งปรับตรงๆ จากตัว Toolkit หรือเอาไปชิงก์กับระบบของ Razer Chroma RGB ผ่านโปรแกรม Razer Synapse ก็ได้ครับ
สรุปราคา
Seagate FireCuda Beskar Ingot เปิดตัวด้วยราคา 2,590 บาท สำหรับความจุ 2 TB ซึ่งอาจจะแพงกว่าไดรฟ์ความจุ 2 TB ทั่วไปอยู่บ้าง แต่ด้วยดีไซน์ที่ไม่เหมือนใคร แถมมีไฟสวยๆ หน้าฮาร์ดดิสก์ด้วย
โดยมาพร้อมประกัน 3 ปี และบริการพิเศษ Rescue Data Recovery Services ที่ช่วยป้องกันการสูญเสียข้อมูลและช่วยกู้ไฟล์ต่าง ๆ คืนมา อีก 3 ปี (ซึ่งหวังว่าจะไม่ต้องใช้บริการนะ)
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส