เมื่อเดือนเมษายน 2023 ที่ผ่านมานี่เอง ยาน Curiosity Rover ขององค์การนาซา ที่ถูกส่งไปสำรวจดาวอังคาร ได้ถ่ายภาพวัตถุประหลาดรูปทรงเหมือนหินก้อนใหญ่มีเดือยแหลมเรียงแถวกันเป็นเส้นตรงยื่นออกมา พบในบริเวณที่เรียกว่า ‘Gale Crater’ ซึ่งมีพื้นที่แนวยาว 154 กม.
ดร. นาตาลี คาโบล (astrobiologist) นักชีวดาราศาสตร์ จากศูนย์วิจัย Nasa Ames และสถาบันเพื่อการค้นหาสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาจากต่างดาว (Seti) เธอได้กล่าวว่า “มันเป็นหินที่แปลกประหลาดที่สุด” นับตั้งแต่เธอเริ่มศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับดาวอังคารมาตลอด 20 ปี
มีการวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ของวัตถุประหลาดนี้กันมากมาย แต่กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ก็ยัง “ไม่ตัด” ทฤษฎีความเป็นไปได้ว่านี่คือ “ยานของมนุษย์ต่างดาวที่ตกบนพื้นผิวดาวอังคาร”
มีบทความสรุปไว้ในวารสาร Journal of Astrobiology ว่าวัตถุประหลาดนั้นน่าจะเป็น ‘sand spikes’ ซึ่งบนโลกเราก็เคยมีวัตถุรูปทรงคล้ายกันนี้เช่นกัน เกิดจากทรายที่อุ้มน้ำขณะเกิดเหตุแผ่นดินไหวรุนแรงระดับ 7 ขึ้นไป บนโลกเราสามารถพบเห็นหินรูปทรงแบบเดียวกันนี้ที่แอ่งแอลไพน์ ทางตอนเหนือของเยอรมนี ซึ่งเกิดจากดาวเคราะห์น้อย นอร์ดลิงเจอร์พุ่งชนเข้ากับพื้นที่ลุ่มน้ำเมื่อ 15 ล้านปีที่แล้ว และอีกแห่งที่พบเห็นได้ก็คือ บริเวณเทือกเขาซิกแนล ในอิมพีเรียลแวลเลย์ ทางตอนใต้ของแคลิฟอร์เนีย ใกล้กับรอยเลื่อนซานแอนเดรียส
แม้จะมีบทสรุปแบบนี้ตีความออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรแล้วก็ตาม บรรดานักวิทยาศาสตร์ก็ยังย้ำว่า “ยังไม่สามารถลบล้างสมมติฐานที่ว่านี่คือยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาวได้อย่างแน่นอน” ในการนี้ นักวิทยาศาสตร์ยังอธิบายด้วยการชี้ให้เห็นว่าวัตถุประหลาดชิ้นนี้มีรูปทรงที่ดูเหมือน ล้อ และ แกน แล้วก็ยังมีภาพของเศษซากอื่น ๆ ในบริเวณ Gale Crater ที่รูปทรงคล้ายกันนี้อีก แต่ชิ้นอื่น ๆ ที่มีเดือยแหลม อาจจะถูกทรายกัดกร่อนไปจนหมดแล้วตามกาลเวลา
ภาพที่ถูกส่งมาจากยาน Curiosity แสดงให้เห็นหินอย่างน้อย 6 ก้อน มีส่วนที่ยื่นออกมาเป็นรูปทรงแปลก ๆ และมีอยู่อันหนึ่งที่มีเดือยแหลมถึง 11 แท่ง และที่ฐานของเดือยแหลมนั้นก็มีวัตถุทรงคล้ายฟันฉลาม บริเวณใกล้เคียงก็มีวัตถุทรงถาดแบน หรือ แผ่นกระดาน ที่มีเดือยแหลมยื่นออกมา ซึ่งประเมินกันว่าวัตถุเหล่านี้ “ไม่น่าจะเกิดจากฝีมือมนุษย์”
ก่อนหน้านี้ก็มีการสันนิษฐานกันมาต่าง ๆ นานาแล้วว่า เป็นฟอสซิลที่เป็นโครงกระดูกปลาบ้าง กระดูกไดโนเสาร์ ที่ผ่านการกัดเซาะจากลมบนดาวอังคาร แต่ก็ยังมีนักวิทยาศาสตร์หลายท่านที่เชื่อว่าเป็น ยานอวกาศที่ถูกส่งมาสำรวจแล้วตกลงบนดาวอังคาร หรือไม่ก็เป็น อุปกรณ์ที่ถูกใช้แล้วทิ้งไว้บนดาวอังคาร อย่างเช่นชิ้นส่วนที่ใช้เพื่อการลงจอด แผ่นกันความร้อน ร่มชูชีพ ซึ่งผุกร่อนจนกระจัดกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แล้วก็ถูกกระแสลมพัดไปทั่วดาวอังคาร
เปรียบเทียบกับยานอวกาศจากโลกเราเอง ก็มีอย่างน้อย 10 ลำที่ถูกส่งมาสำรวจดาวอังคารแล้วขาดการติดต่อไป รวมไปถึงยาน Beagle 2 ของอังกฤษด้วย ซึ่งคาดว่าน่าจะตกบนดาวอังคาร หรือแม้แต่ยาน Curiosity Rover ขณะที่วิ่งไปมาบนดาวอังคารก็ยังทิ้งชิ้นส่วนบางชิ้นไว้ ผู้เชี่ยวชาญประเมินว่า ถึงวันนี้น่าจะมีเศษชิ้นส่วนจากโลกมนุษย์ไปทิ้งอยู่บนดาวอังคารรวมแล้วถึง 7,119 กิโลกรัม
แต่สำหรับวัตถุประหลาดที่มีเดือยแหลมนี้ ผู้เชี่ยวชาญไม่คิดว่าจะเป็นวัตถุที่เกิดจากฝีมือชาวโลก เพราะพิจารณาอย่างไรมันก็ไม่เหมือนของที่ประดิษฐ์ขึ้นจากฝีมือมนุษย์
แต่ทฤษฎีของนักวิทยาศาสตร์ก็แย้งกันเอง จากข้อมูลส่วนหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสารวิเคราะห์ไว้ว่า “เนื่องจากมียานอวกาศมากกว่า 10 ลำ ที่ตกบนดาวอังคาร และยังมีการทิ้งชิ้นส่วนที่ใช้ในการลงจอด ฉะนั้นจึงเป็นไปได้ว่า เดือยแหลมและฐานรองรับของมันที่เห็นนั้น น่าจะเป็นวัตถุที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ ที่มีเศษซากปรักหักพังอื่น ๆ บริเวณ Gale Crater ปลิวมาประกอบกันด้วย”
“แต่อย่างไรก็ตาม เรายังไม่มีหลักฐานที่ระบุได้ชัดว่า เศษซากปรักหักพังเหล่านั้นมีต้นกำเนิดมาจากโลกมนุษย์ ด้วยขนาดที่ค่อนข้างเล็ก และยังไม่มีวัตถุใด ๆ ที่รูปทรงคล้ายกันนี้ที่เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น และไม่สามารถหาคำอธิบายได้ว่า หนามแหลมเหล่านี้จะถูกสร้างขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์ใด และดูเหมือนว่าตัวอย่างวัตถุประหลาดนี้ ไม่น่าจะเป็นชิ้นส่วนที่มนุษย์สร้างขึ้น หรืออุปกรณ์ใด ๆ ที่ถูกทิ้งลงไปบริเวณ Gale Crater”
“แต่ใคร ๆ ก็ชอบเคาเดาว่ามาจากมนุษย์ต่างดาวกันทั้งนั้น”
ถึงแม้ว่า คำอธิบายว่าน่าจะเป็นปรากฏการณ์ ‘เดือยทราย’ หรือ ‘sand spikes’ แบบเดียวกับที่เกิดขึ้นบนโลกนั้น ดูมีน้ำหนักมากสุดแล้ว แต่ก็ยังมีรายละเอียดเล็กน้อยที่ต่างกัน อย่างเช่นเดือยทรายบนดาวอังคารนั้นไม่มีกระเปาะที่ส่วนปลายเหมือนที่เกิดขึ้นบนโลกมนุษย์ ส่วนเดือยทรายบนดาวอังคารนั้นมีลักษณะคล้ายฟันปลาเสียมากกว่า
ยังมีข้อสันนิษฐานต่าง ๆ อีกมากจากบรรดานักวิทยาศาสตร์ บางคนก็วิเคราะห์ว่าหนามแหลมเหล่านั้นน่าจะเป็นฝีมือจากจุลินทรีย์ขนาดเล็กบนดาวอังคาร หรือไม่ก็เป็นฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตยุคดึกดำบรรพ์อย่าง สาหร่าย หรือ หนอนทราย
ที่มา : telegraph