ทุก ๆ ปีในประเทศอังกฤษและเวลส์ จะมีเด็กผู้ชายเกิดมามากกว่าเด็กผู้หญิงเสมอ ตั้งแต่ปี 1838 ได้มีการบันทึกไว้ว่า เด็กที่เกิดมาส่วนมากเป็นเด็กผู้ชาย และในปี 2017 ผู้ชายในอังกฤษและเวลส์ มีจำนวน 348,071 คน ในขณะที่มีผู้หญิง 331,035 คนเท่านั้น (ซึ่งจำนวนประชากรต่างกันกว่า 17,000 คนเลยทีเดียว) ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ?
ในความเป็นจริงอัตราส่วนการเกิดของผู้ชาย : ผู้หญิง คิดเป็น 105 : 100 มันเป็นอัตราส่วนที่เกิดขึ้นทั่วโลก ตั้งแต่ในศตวรรษที่ 17 แล้ว ถึงแม้ว่าจะมีช่องว่างในบางประเทศ เช่น อินเดีย หรือ จีน เพราะเด็กผู้ชายเป็นที่ต้องการมากกว่าในประเทศเหล่านั้น
คำถามคือ แล้วอะไรที่ทำให้เด็กผู้ชายมีโอกาสเกิดมากกว่าเด็กผู้หญิงละ?
ถึงจะยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัดแต่เรามีหลายทฤษฎีที่สามารถอธิบายเรื่องนี้ได้ ทฤษฎีแรกเป็นเรื่องของวิวัฒนาการ เพราะผู้ชายเป็นเพศที่เสี่ยงอันตรายมากกว่าเพศหญิง ทั้งการใช้ชีวิต รวมทั้งปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ในทุกช่วงอายุ ทุก ๆ ที่ผู้ชายมีโอกาสเสียชีวิตมากกว่าผู้หญิง ธรรมชาติจึงสร้างให้ผู้ชายมีจำนวนมากกว่า ศาสตราจารย์ David Steinsaltz รองศาสตราจารย์ด้านสถิติแห่งมหาวิทยาลัย Oxford กล่าว
นอกจากนี้ยังมีแนวคิดเรื่องความแตกต่างของสเปิร์ม ที่เป็นตัวกำหนดเพศทารก สเปิร์มเพศชาย (XY) จะว่ายน้ำเร็วกว่าแต่จะไม่ทนเท่ากับสเปิร์มเพศหญิง (XX) แนวคิดนี้มีปัจจัยร่วมหลายอย่าง เช่น อายุของพ่อและแม่ การตกไข่ ความเครียด สารอาหาร รวมถึง sexual position อีกด้วย
ดังนั้นอีกหนึ่งทฤษฎีที่ได้รับความนิยมมากคือ การมีเพศสัมพันธ์ในช่วงใกล้ตกไข่ มีงานวิจัยบางชิ้นบอกกับเราอีกว่า สเปิร์ม XX ชอบหลงทางในระหว่างที่จะว่ายน้ำไปเจอไข่ ทำให้พวกสเปิร์ม XY ที่สามารถว่ายน้ำได้เร็วอยู่แล้ว มีโอกาสแซงไปเจอไข่ได้มากกว่านั่นเอง ถึงแม้พ่อแม่ที่มีลูกชายหลายคู่จะยืนยันวิธีนี้ แต่นักวิทยาศาสตร์กลับพบหลักฐานที่สนับสนุนแนวคิดนี้น้อยมาก ที่สำคัญยังมีงานวิจัยบางชิ้นชี้ให้เราเห็นว่าความเครียดก็เป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดเพศ และทารกเพศชายมีโอกาสแท้งมากกว่าทารกเพศหญิงอีกด้วย
ถึงแม้ว่านักวิทยาศาสตร์จะยังไม่สรุปแน่ชัดถึงสาเหตุที่ผู้ชายมีจำนวนมากกว่าผู้หญิง แต่สิ่งหนึ่งที่เรารู้แน่ ๆ คือ ในปัจจุบันนี้ผู้ชายมีจำนวนมากกว่าผู้หญิงอย่างไม่ต้องสงสัย