งานวิจัยบอกกับเราว่า 1 ใน 10 ของชาวอเมริกา ได้รับผลกระทบจากการแพ้อาหารเป็นอย่างมาก และมีคนอีกเกือบ 2 เท่าที่เข้าใจผิดว่าตนเองแพ้อาหาร!

นักวิจัยได้ทำการสำรวจชาวอเมริกาทั่วประเทศกว่า 40,000 คน พบว่า 10% มีอาการแพ้อาหารหนึ่งอย่าง หรือมากกว่านั้น
และมีคนถึง 19% ที่บอกว่าตัวเองแพ้อาหารชนิดนั้น ๆ ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยได้รับการทดสอบหรือมีอาการแพ้มาก่อนเลย ดร .Ruchi Gupta หัวหน้านักวิจัยด้านกุมารแพทย์และกุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จากมหาวิทยาลัย Northwestern กล่าวว่า ในกรณีเช่นนี้อาจเกิดจากเงื่อนไขอื่น ๆ เพิ่มเติมที่ตัวบุคคลมีต่ออาหาร แทนที่จะเป็นการแพ้อาหารจริง ๆ

จากงานวิจัยพบว่า หอย เป็นอาหารที่ชาวอเมริกามีอาการแพ้มากที่สุด (ประมาน 7 ล้านคน) ตามมาด้วยนม และถั่วลิสง ตามลำดับ (ซึ่งจำนวนคนแพ้อยู่ที่ประมาณ 5 ล้านคน) นอกจากนี้ก็จะมีคนแพ้อาหารพวกถั่ว ปลา ไข่ ถั่วเหลือง และงา อีกด้วย

อาการแพ้อาหารเกิดจากระบบภูมิคุ้มกันตอบสนองต่อการถูกกระตุ้นจากอาหาร ซึ่งอาการแสดงของแต่ละบุคคลก็จะแตกต่างกันออกไป เช่น บางคนมีอาการคล้ายลมพิษ มีอาการคัน บวมในจมูกและลำคอ ปวดท้อง หรือคลื่นไส้ และในกรณีที่รุนแรง อาจเกิดอาการ Anaphylaxis (อาการแพ้อย่างรุนแรงที่ทำให้เกิดภาวะช็อก ความดันโลหิตต่ำ ทางเดินหายใจตีบ) ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ หากไม่ได้รับการรักษาทันที หลายคนคิดว่าอาการแพ้จะเกิดขึ้นในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ แต่ไม่เป็นอย่างนั้น เพราะโรคภูมิแพ้อาหารในผู้ใหญ่เกิดขึ้นบ่อยกว่าที่คาดไว้ กว่า 48% ของกลุ่มตัวอย่างมีอาการแพ้ครั้งแรกตอนเป็นผู้ใหญ่ทั้งนั้น ที่สำคัญอาการแพ้อาหารนี้สามารถถ่ายทอดสู่ผู้อื่นได้ในกรณีที่ไม่น่าเป็นไปได้อีกด้วย เช่น ผู้หญิงคนหนึ่งมีอาการแพ้ถั่วหลังจากที่เธอทำการปลูกถ่ายปอดมาจากผู้บริจาค เป็นต้น

ดังนั้นหากเกิดความสงสัยว่าเรามีอาการแพ้อาหารเหล่านั้นจริงหรือไม่ ทางที่ดีเราควรจะไปตรวจกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อทดสอบ และวินิจฉัยให้ได้ผลลัพธ์ที่แน่นอน เพื่อป้องกันอาการต่าง ๆ ที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตของเราได้จึงจะดีที่สุด

อ้างอิง