ในขณะที่ประเทศไทยกำลังขาดแคลนหน้ากากอนามัย จากวิกฤติฝุ่น PM 2.5 แต่จำนวนการใช้หน้ากากอนามัยในประเทศจีนกลับลดลง จากผลของมาตราการควบคุมมลภาวะภายในประเทศ
ก่อนหน้านี้จีนได้ประสบกับปัญหามลภาวะที่เกินค่ามาตราฐานโดยเฉพาะอย่างยิ่ง PM 2.5 ที่ลอยคลุ้งปกคลุมเมืองปักกิ่งและมณฆลเหอเป่ย จีนจึงตัดสินใจใช้มาตราการควบคุมมลภาวะในภาคอุตสาหกรรมและถ่านหินในครัวเรือนให้สามารถจัดการปัญหามลภาวะเหล่านี้ให้ได้ภายใน 3 ปี (ปี 2020 จีนต้องไม่มีปัญหามลภาวะเหล่านี้) ทางการจีนเผยว่า ในปี 2018 มีการสั่งย้ายผู้ประกอบการที่ปล่อยมลพิษกว่า 656 ราย และยังมีการปรับบุคคลและบริษัทต่าง ๆ ที่ฝ่าฝืนกฏหมายรวมกว่า 230 ล้านหยวน เพื่อให้ประชาชนปฏิบัติตามมาตราการ ส่งผลทำให้หลายมลฑลของจีนมีสภาพอากาศที่ดีขึ้น
ทั้งนี้กระทรวงสิ่งแวดล้อมของจีนระบุว่า สภาพอากาศในเมืองใหญ่ของจีนทั้ง 338 แห่งดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในปีที่ผ่านมาพบว่าสัดส่วนวันที่สภาพอากาศดีคิดเป็น 79.3% เพิ่มขึ้นจากปี 2017 ถึง 1.3% ส่งผลให้บริษัท 3M ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคสัญชาติอเมริกา ต้องปรับลดเป้ากำไรในปี 2019 ลง เนื่องจากยอดขายผลิตภัณฑ์กรองอากาศลดลง อันเป็นผลเสียเนื่องจากความจริงจังในการจัดการปัญหามลพิษในจีน
เมื่อวันที่ 29 มกราคมที่ผ่านมา Mike Roman CEO ของบริษัท 3M กล่าวว่า การประกาศปรับลดกำไรในที่นี้ไม่ได้หมายถึงความไม่มั่นคงของบริษัท แต่เป็นการปรับลดในช่วงครึ่งแรกของปีเพราะยอดขายในจีนลดลง ซึ่งคาดว่ากำไรต่อหุ้นตลอดปี 2019 จะอยู่ที่ 10.45-10.09 ดอลลาร์ (ลดลงจาก 10.60-11.05 จากที่เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้า) ยอดขายในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคลดลง 0.8% เป็นผลมาจากจีนมีสภาพอากาศที่ดีขึ้น
ในขณะที่สภาพอากาศกำลังดีขึ้นเช่นนี้ นักสิ่งแวดล้อมได้ออกมาเตือนว่า ผลกระทบจากการชะลอตัวทางด้านเศรษฐกิจของจีน อาจส่งผลให้รัฐบาลท้องถิ่นผ่อนมาตราการควบคุมการปล่อยมลพิษลงในปี 2019 นี้