ใครจะไปคิดว่าการปีนเขาที่มีชื่อเสียงที่สุดอย่างเขาเอเวอเรสต์ นักปีนเขาไม่เพียงแต่จะต้องเสี่ยงชีวิตเอาตัวรอดจากสภาพอากาศอันเลวร้าย บรรยากาศอันเบาบาง และภูมิประเทศที่ยากต่อการพิชิตยอดเขาแล้ว พวกเขายังต้องเสี่ยงชีวิต กับการจราจรที่เกิดจากความหนาแน่นของนักปีนเขาด้วยกันอีกด้วย
ฟังเหมือนเป็นเรื่องตลก แต่เอเวอเรสต์ ดึงดูดนักปีนเขาหลายคนให้เสี่ยงชีวิตก้าวเท้าเข้าพิชิตยอดเขาที่ได้ชื่อว่าสูงที่สุดในโลก และด้วยเหตุนี้ทำให้นักปีนเขาหลายล้านคนมุ่งหน้าขึ้นสู่ยอดเขา
CNN ได้รายงานถึงกรณีของ Anjali Kulkarni นักปีนเขาที่มีประสบการณ์การปีนเขามามากกว่า 6 ปี เธอต้องจบชีวิตลงเพราะการจราจรบนยอดเขา ผู้นำทัวร์ Thupden Sherpa เล่าว่า เธอเสียชีวิตขณะที่กำลังรอเพื่อจะขึ้นไปบนเขา เธอไม่สามารถเคลื่อนไหวด้วยตัวเองได้เลย หลังจากที่ไกด์พาเธอลงมาเธอก็เสียชีวิต
เช่นเดียวกับนักปีนเขาขาวอินเดีย Kalpana Das วัย 52 ปี และ Nihal Bagwan วัย 27 ปี พวกเขาทั้งสองเสียชีวิตเพราะหมดแรงหลังจากติดอยู่ในเส้นทางการปีนเขาที่เต็มไปด้วยผู้คนนานกว่า 12 ชม. และยังไม่รวมกรณีอื่นๆที่เสียชีวิตแล้ว 10 ศพ ให้กับฤดูกาลนี้
ด้วยอากาศที่หนาวเหน็บ และ บรรยากาศที่เบาบาง ทำให้การเคลื่อนไหวบนยอดเขานั้นต้องใช้พลังงานมาก รวมทั้งสร้างภาระให้ร่างกายของนักปีนเขาด้วย การติดแหงกอยู่บนเส้นทางขึ้น-ลงเขาจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสามารถรักษาสถาพร่างกายให้แข็งแรงเต็ม 100% การขึ้นเขาแต่ละครั้งนักปีนเขาจำเป็นต้องจ้างไกด์ท้องถิ่น และการปีนเขาแต่ละครั้งก็ไม่ได้มากัน 2-3 คนต่อวัน คุณลองนึกภาพดูว่าหากคุณต้องต่อแถวยาว ในอากาศที่หนาวเย็น หายใจไม่ค่อยออก (บนยอดเขาออกซิเจนน้อย ทำให้ร่างกายเราเหนื่อยง่ายกว่าเดิม) แบกสัมภาระ บนแนวเทือกเขาที่ไม่ค่อยจะมีที่ยืนมันจะลำบากขนาดไหน?
Gordon Janow ผู้จัดตั้ง Alpine Ascents International บริษัทนำปีนเขาขึ้นเอเวอเรสต์มาเป็นเวลากว่า 30 ปี กล่าวว่า ปัญหาคนเยอะบนเอเวอเรสต์มีทุกปี และมันก็เลวร้ายลงทุกปีด้วยเช่นกัน การก้าวแต่ละก้าวในการปีนเขามันสำคัญมาก เพราะนั่นอาจหมายถึงชีวิตของคุณ ดังนั้นหนึ่งในทักษะที่สำคัญของไกด์ของเรา คือพวกเขาต้องรู้ว่าเวลาไหนควรหยุด และเมื่อไหร่ควรเดินหน้าต่อเพื่อความปลอดภัยของลูกทัวร์ของเรา