สำหรับใครที่ยังไม่ได้ลองหรือคิดจะลอง ก็ขอให้อ่านบทความนี้แล้วใคร่ครวญด้วยวิจารณญาณอีกครั้ง มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะต้องดื่มของเสียที่ขับออกมาจากร่างกายและมีกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ ต่อให้เราต้องตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก หลงอยู่บนเขาหรือท่ามกลางทะเลทราย ลอยเท้งเต้งอยู่กลางมหาสมุทร ต่อให้อยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น ที่มีน้ำเพียงแหล่งเดียวคือปัสสาวะจากร่างกายเราเองแล้วต้องบริโภคกลับเข้าไปในร่างกาย แค่คิดก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าพิศมัยเลย สัญชาตญาณพื้นฐานมนุษย์ถูกออกแบบมาให้มองของเสียจากร่างกายเป็นสิ่งน่ารังเกียจนั่นล่ะถูกต้องแล้ว
เรื่องการดื่มปัสสาวะตัวเอง เป็นความเชื่อมาตั้งแต่โบราณกาล ถูกบันทึกไว้ในหลากหลายอารยธรรมทั่วโลกทั้ง อียิปต์, กรีก แต่ถูกพูดถึงมากในแถบเอเซีย, อเมริกาใต้และตะวันออกกลาง มันถูกขนานนามว่า “สิ่งบำบัดมหัศจรรย์” เยียวยาได้ตั้งแต่สิวไปจนถึงมะเร็ง มีมนุษย์จำนวนไม่น้อยที่ถูกถ่ายทอดความเชื่อนี้มาจากบรรพบุรุษ แต่เนื่องจากการดื่มของเสียดูเป็นเรื่องผิดวิสัย แปลกประหลาด ไม่ได้ถูกยอมรับในสังคมวงกว้าง ใครที่ลองทำก็มักจะแอบทำในห้องน้ำเงียบ ๆ แต่กลับกันในวันนี้กระแสการ “ดื่มปัสสาวะ”ถูกพูดถึงอย่างแพร่หลายอีกครั้ง หลายคนที่ทดลองดื่มหรือดื่มเป็นประจำ กลับกล้าที่จะออกมาอวดอ้างสรรพคุณในทางบวกผ่านสื่อโซเชียลว่าดื่มแล้ว “รู้สึก” ว่ามีผลดีต่อสุขภาพต่าง ๆ นานา ยืนยันด้วยตัวเองว่าปลอดภัย ตัวผู้ดื่มยังแข็งแรงดี
ตัวอย่างเด่นของผู้ที่หลงใหลใน “ปัสสาวะบำบัด” จากทั่วโลก
ไม่เพียงแต่ในบ้านเราที่มีผู้คนออกมาเชิญชวนให้ดื่มปัสสาวะตัวเองเพื่อบำบัด ประเทศเจริญในโลกตะวันตกก็มีผู้คนหลากหลายที่ใช้สื่อโซเชียลพูดถึงสรรพคุณวิเศษมากมายจากการดื่มปัสสาวะ และชักชวนให้ผู้คนได้ทำตาม มีตัวอย่างที่เห็นแล้ว โอ้โห! มาเล่าสู่กันฟังดังนี้
เคยลีห์ โอคลีย์ ครูสอนโยคะวัย 33 ปี จากเนวิงตัน, เคนต์ ประเทศอังกฤษ เธอเล่าผ่านสื่อโซเชียลว่าเธอดื่มปัสสาวะตัวเองเป็นประจำ มันทำให้ปัญหาสุขภาพเรื้อรังที่เธอประสบมายาวนานได้บรรเทาลง ทั้งโรคภูมิต้านเนื้อเยื่อตนเอง, อาการปวดเรื้อรัง เคย์ลีห์ เรียกกิจกรรมนี้ว่า “ปัสสาวะบำบัด” เธอเริ่มทำติดต่อกันมา 2 ปีแล้ว
“ฉันได้ยินมาว่า ปัสสาวะจะช่วยรื้อฟื้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ช่วยให้สุขภาพดี แล้วยังทำให้ผิวพรรณดีด้วยค่ะ ได้ยินมาแบบนั้น ฉันก็คิดว่าก็น่าจะลองดูนะ”
หลังจากได้ลอง เธอก็ดื่มเป็นประจำ วันละ 1 เหยือกทุกวันเป็นประจำ ไม่เพียงแค่นั้น เธอยังเอาผ้าขนหนูชุบปัสสาวะ แต้มไปทั่วใบหน้าเธออีกด้วย เคย์ลีห์บอกว่ามันทำใบหน้าเธอ “ผุดผ่องเป็นประกาย”
ลีอาห์ แซมซัน วัย 46 ปี จากอัลเบอร์ทา, แคนาดา เล่าว่าหลังจากเธอดื่มปัสสาวะเป็นประจำ น้ำหนักเธอลดลงมาเป็นเท่าตัว ลีอาห์เล่าว่าเธอมีน้ำหนักตัวมากถึง 120 ก.ก. ซึ่งเธอถอดใจแล้วที่จะลดน้ำหนัก พอเธอได้ยินว่าปัสสาวะจะช่วยลดน้ำหนักได้ ลีอาห์ก็ประหลาดใจอย่างมาก “เพื่อนฉันส่งลิงก์ยูทูบเรื่อง “ปัสสาวะบำบัด” มาให้ฉันดู ฉันก็เลยลองดูบ้างน่ะ ฉันเข้าไปยืนในอ่างอาบน้ำ ฉี่ออกมาแล้วก็เอาสองมือไปรองแล้วฉันก็ดื่มจากมือ วินาทีนั้นทำให้ฉันตระหนักได้ว่ามันเป็นเพราะที่ผ่านมาฉันบริโภคโซเดียมมากเกินไปนี่เอง ฉันก็เลยตั้งเป้าว่าจะต้องขจัดโซเดียมออกไปจากอาหารที่ฉันกินเป็นประจำโดยเร็วที่สุด”
ลีอาห์ มีศรัทธาใน “ปัสสาวะบำบัด” อย่างมากครับ เพราะเธอไม่แค่ดื่มแล้ว แต่เธอกลั้วคอด้วยทุกเช้า แปรงฟันก็ใช้ปัสสาวะ หนักสุดก็ตรงที่เอาไปหยอดตาด้วยนี่สิ ก็ไม่รู้ว่าในยูทูบที่เธอได้ชมไปนั้น ได้แนะนำให้ทำหรือว่าเธอไปประยุกต์ใช้เอง อ่านตัวอย่างมา 2 คน แล้วอย่าเพิ่งไปเห็นดีเห็นงามรีบทำตามนะครับ ขอย้ำว่าทั้งหมดนี้เป็นความเชื่อในระดับปากต่อปาก ไม่มีเอกสารทางการแพทย์มารองรับอย่างเป็นทางการ
มีตัวอย่างที่ประหลาด ๆ มาเล่ากันต่อ เฟธ แคนเทอร์ วัย 39 จากประเทศโปรตุเกส เธอบอกว่าเธอแพ้พิษจากแมลงกัดมาก แค่โดนยุงกัดตาเธอก็บวมปูดแล้ว พอได้ยินเรื่องการดื่มปัสสาวะเพื่อการรักษา เธอก็ลองดูบ้าง เฟธ เล่าว่าครั้งแรกก็รู้สึกขยะแขยงอยู่หรอก แต่ผลที่ได้มันน่าอัศจรรย์มากแผลที่โดนแมลงกัดหายภายใน 3 วัน “ตั้งแต่นั้นฉันก็ดื่มปัสสาวะทุกเช้า พอฉันโดนแมลงกัดอาการแพ้มันลดน้อยลงไปจากเดิมมาก แต่ก่อนพอฉันโดนกัดก็ทั้งบวมทั้งคัน แต่ตอนนี้มีแค่เพียงรอยโดนกัดจิ๊ดเดียวแค่นั้น”
แต่รายที่กลายเป็นวิดีโอไวรัลแพร่สะพัดที่สุด ก็เป็นคลิปวิดีโอจากหญิงนิรนามที่เธอดื่ม “ปัสสาวะหมา” ของเธอเอง มันเริ่มไปกันใหญ่แล้ว ในบ้านเราขออย่าให้เลยเถิดไปขนาดนี้เลยนะ ในวิดีโอนั้นแม่สาวคนนี้ก็ดูเหมือนจะจูงหมาไปเดินเล่นในสวนตามปกตินี่ล่ะ มันดูเป็นปกติมาจนถึงตอนที่หมากำลังฉี่ แล้วเธอเอาถ้วยเล็ก ๆ ไปรองฉี่หมา แล้วเธอก็……………..ดื่มมันจนหยดสุดท้าย แล้วเธอก็ให้เหตุผลที่ทำเช่นนี้ว่า
“ตอนที่ฉันดื่มปัสสาวะสุนัขครั้งแรกน่ะ เพราะว่าฉันตกอยู่ในภาวะซึมเศร้า หดหู่มาก เพราะหน้าฉันเต็มไปด้วยสิว” แล้วไปเอาสูตรดื่มปัสสาวะหมามาจากไหนเนี่ย
ทั้งหมดนี้เป็นตัวอย่างจากความเชื่อในระดับบุคคลล้วน ๆ นะครับ แพทย์ทั่วโลกต่างก็ออกมาแย้งกันถ้วนหน้าว่า “การดื่มปัสสาวะไม่มีผลดีต่อสุขภาพแต่อย่างใด”
มาถึงข้อมูลพื้นฐานที่อธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ
ปัสสาวะคืออะไร
ปัสสาวะประกอบไปด้วยของเหลวและของเสียที่ไม่ต้องการ ไตจะทำหน้าที่เป็นตัวกรองกระแสเลือดแล้วคัดเอาน้ำที่เป็นส่วนเกินและของเสียคัดออกมาแล้วส่งไปที่กระเพาะปัสสาวะในรูปของปัสสาวะ ในปัสสาวะจะมีน้ำเป็นองค์ประกอบอยู่ 91 – 96 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลือจะประกอบไปด้วย เกลือ , แอมโมเนีย และของเสีย ที่กระบวนการภายในร่างกายขับออกมา
มนุษย์เรามีไตคนละ 2 อัน รูปร่างคล้ายเมล็ดถั่วดำอยู่บริเวณ 2 ข้างลำตัว ไตจะส่งปัสสาวะผ่านท่อไตไปที่กระเพาะปัสสาวะ เมื่อกระเพาะปัสสาวะเต็ม ปลายระบบประสาทก็จะส่งสัญญาณไปที่สมองบอกว่ากระเพาะฉี่เต็มแล้วนะ ไปเข้าห้องน้ำได้แล้ว เมื่อเราทำการปล่อยปัสสาวะออกจากร่าง ปัสสาวะก็จะไหลผ่านท่อเล็ก ๆ ที่เรียกว่า “ท่อปัสสาวะ” แล้วที่ท่อปัสสาวะนี่ล่ะ คือแหล่งรวมของแบคทีเรีย แต่ที่ไม่น่ากังวลมากนัก ถ้าสุขภาพร่างกายเราเป็นปกติปริมาณของแบคทีเรียเหล่านี้จะไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพร่างกาย แต่ถ้าร่างกายผิดปกติปริมาณแบคทีเรียก็จะมากขึ้นแล้วก็จะปะปนมาในปัสสาวะ
การดื่มปัสสาวะ ปลอดภัยหรือไม่?
การบริโภคปัสสาวะเข้าไปนิดหน่อยไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย แต่การที่ดื่มกันครั้งละเต็มแก้วนั้นไม่เป็นผลดีกับร่างกายแน่นอน ในปัสสาวะจะมีปนเปื้อนสิ่งอันตรายอะไรบ้าง
แบคทีเรีย
ภายในร่างกายเป็นที่อยู่อาศัยของแบคทีเรียหลายกลุ่มและมีจำนวนมาก โดยเฉพาะทางเดินปัสสาวะภายในร่างก็จะมีแบคทีเรียหลากหลายชนิด ในสภาวะร่างกายปกติ แบคทีเรียเหล่านี้จะอยู่ในปริมาณที่ไม่เป็นภัยต่อร่างกาย เมื่อปัสสาวะเดินทางผ่านระบบทางเดินปัสสาวะมันก็จะพาเอาแบคทีเรียเหล่านี้ติดไปด้วย ฉะนั้นการดื่มปัสสาวะของตัวเองหรือของคนอื่นก็เท่ากับรับแบคทีเรียเหล่านี้กลับเข้าไปอยู่ในร่างกาย ซึ่งอาจจะส่งผลให้เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร
พิษ
ในปัสสาวะจะมี “ของเสีย” ที่ร่างกายขับออกมาผสมอยู่ด้วย ของเสียที่ปะปนอยู่ในปัสสาวะนี้ เรียกได้ว่าเป็น “สารพิษ” (toxin) แต่ยังไม่อยู่ในสถานะที่ “เป็นพิษ” (toxic) ต่อร่างกาย แต่เมื่อมันถูกขับออกมาจากร่างกายแล้วถูกบริโภคกลับเข้าไปอีก มันก็จะเพิ่มปริมาณความเข้มข้นมากขึ้น พึงเข้าใจว่าการที่เราเรียกว่าของเสีย เพราะเป็นส่วนเกินที่ร่างกายไม่ต้องการ ถ้าของเสียเหล่านี้ยังคงอยู่ในร่างกายต่อไปก็จะเริ่มเป็นอันตรายต่อร่างกาย ฉะนั้นการเอาของเสียกลับเข้าสู่ร่างกายย่อมไม่ใช่ผลดี
ตัวยา
สำหรับผู้ป่วยที่ต้องรับประทานยา เมื่อยาถูกเผาผลาญเข้าสู่ระบบภายในร่างกาย บางส่วนก็จะถูกขับมาทางปัสสาวะ การดื่มปัสสาวะตัวเองกลับเข้าไป ก็เท่ากับการเพิ่มปริมาณยาเข้าสู่ร่างกาย เท่ากับร่ากายจะได้รับปริมาณยาที่เกินกำหนดต่อวัน แต่ถ้าเราไปดื่มปัสสาวะผู้อื่นที่ทานยา เราก็จะรับตัวยาที่ผู้นั้นบริโภคเข้าสู่กระแสเลือดของเราไปด้วย
แก้กระหายได้หรือไม่
เราเห็นภาพเหล่านี้ในหนังกันหลายครั้ง เมื่่อตัวละครลอยอยู่กลางทะเล ติดในถ้ำ หรือหลงทางกลางทะเลทราย พวกเขาจะดื่มปัสสาวะตัวเองแก้กระหาย ปล่อยให้ความเชื่อเหล่านี้อยู่แต่ในหนัง เพราะการดื่มน้ำปัสสาวะ ก็ไม่ต่างอะไรกับการดื่มน้ำทะเล เพราะในปัสสาวะนั้นมีส่วนผสมเข้มข้นของเกลือและธาตุ เมื่อเราเอาเกลือในปัสสาวะกลับเข้าสู่ร่าง ไตก็ต้องการน้ำในปริมาณที่มากขึ้นเพื่อกำจัดส่วนเกินของเกลือที่เข้มข้นมากขึ้น ฉะนั้นการดื่มปัสสาวะจะยิ่งเร่งให้ร่างกายกระหายน้ำมากขึ้น
แม้กระทั่งในคู่มือการออกภาคสนามของทหารอเมริกัน ยังระบุไว้ชัดเจนว่า อย่าดื่มปัสสาวะถ้าต้องตกอยู่สถานการณ์ที่ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอด
มาอ่านคำแนะนำจากบรรดาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกันดูบ้าง ว่าท่านเหล่านี้มีความเห็นอย่างไรกับ “ปัสสาวะบำบัด”
แม้ว่าปัสสาวะจะเป็นของเหลวที่ไร้ประโยชน์ แต่ผู้ที่นิยมบริโภคมันก็แย้งในข้อนี้ว่า “มันผ่านกระบวนการภายในร่างกายเรามาแล้ว แปลว่ามันต้องปราศจากเชื้อสิ” ดร.ซูแบร์ อาเหม็ด จาก Cleveland Clinic Main Campus ก็อธิบายว่า “พิจารณาโดยหลักการพื้นฐานมันก็ใช่อยู่หรอก แต่นั่นหมายความว่าไตคุณต้องทำงานปกติด้วยนะ”
ดร.ซูแบร์ ให้ความรู้ต่ออีกว่า
“ปัสสาวะคือน้ำที่ร่างกายขับทิ้งออกมา มันจะต้องปนเปื้อนไปด้วยแบคทีเรียจำนวนมาก แล้วการที่เราบริโภคแบคทีเรียเข้าร่างกายเนี่ย มันจะทำให้เราไม่สบายแล้วอาจลามไปถึงปัญหาสุขภาพที่รุนแรงมากขึ้น เสี่ยงต่อการติดเชื้อตามมา”
ดร.ซูแบร์ เองก็ยังยืนยันอีกคนว่าจนขณะนี้ก็ยังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ที่สนับสนุนว่าการดื่มปัสสาวะจะส่งผลดีต่อสุขภาพในด้านใด
ดร.แอนดริว ทอร์เบิร์น หัวหน้าคณะแพทย์จาก Now Healthcare Group เป็นอีกท่านที่ออกมาเตือนเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า การดื่มปัสสาวะเท่ากับการเอาของเสียที่ร่างกายขับออกมา แล้วใส่กลับเข้าไปในระบบร่างกายของเราอีกครั้ง
“การที่ร่างกายเราผลิตปัสสาวะออกมานั้น มาจากการที่ไตของเราทำหน้าที่กรองเลือดแล้วดักเอาของเสียต่าง ๆ ที่มีปริมาณมากเกินไปเช่นเกลือ และธาตุต่าง ๆ ในมนุษย์ที่มีสุขภาพร่างกายปกตินั้น ปัสสาวะของเขาจะประกอบไปด้วยน้ำจำนวน 95% อีก 5% นั้นจะเป็นของเสียที่ร่างกายขับออกมาเช่น โปแตสเซียม และ ไนโตรเจน ธาตุเหล่านี้ถ้าร่างกายเก็บสะสมไว้มากเกินไป ก็จะกลายเป็นปัญหาหนัก”
ดร.แอนดริว เสริมต่อว่าการดื่มปัสสาวะกลับเข้าไปในร่างกาย จะทำให้อวัยวะภายในทำงานหนักขึ้น
“เมื่อคุณดื่มปัสสาวะเข้าไป ร่างกายก็จะทำการขับมันออกมาอีกครั้ง แล้วครั้งนี้มันก็จะเข้มข้นมากขึ้น จะเป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาต่ออวัยวะภายใน เริ่มจากไตเลยที่จะต้องทำงานหนักมากขึ้นเพื่อขจัดของเสียที่เข้มข้นขึ้นอีกครั้ง”
ยังมีอีกความเชื่อหนึ่งจากกลุ่มคนที่ดื่มปัสสาวะเพราะว่าในปัสสาวะจะมีวิตามิน ดร.แอนดริว ได้แนะนำในเรื่องนี้ว่า “มันมีวิธีอื่นที่ง่ายกว่านี้เยอะแยะ เช่นการควบคุมอาหาร ทานอาหารที่มีคุณภาพหรือทานอาหารเสริมก็ยังดี”
ไม่ใช่แต่บรรดาแพทย์เท่านั้นนะ ที่ออกมาเตือนเรื่องผลเสียจากการดื่มปัสสาวะ บรรดานักโภชนาการ และผู้เชี่ยวชาญทางด้านควบคุมอาหารก็ยังไม่เห็นชอบกับกระแสการดื่มปัสสาวะเช่นกัน
เอสลิง ไพกอตต์ โฆษกประจำสมาคมโภชนาการแห่งประเทศอังกฤษ ก็ยังตอกย้ำคำเตือนเดิมอีกครั้งว่า “ถึงวันนี้ก็ยังไม่เห็นหลักฐานหรือคำยืนยันใด ๆ ที่แนะนำให้มนุษย์ดื่มปัสสาวะตัวเอง”
เคริ ฟิลต์เน็ส นักโภชนาการ ก็ออกมาสนับสนุนคำกล่าวของ เอสลิง เช่นกัน “มันมีของเสียมากมายถูกขับออกมาในปัสสาวะ ท้้งไนโตรเจ็น,โซเดียม และธาตุอีกหลายตัว พอดื่มเข้าไปมาก ๆ มันจะทำให้ร่างกายขาดน้ำ ถ้าอยากจะดื่มอะไรเพื่อสุขภาพจริง ๆ ดิฉันแนะนำให้ดื่มน้ำบริสุทธิ์ หรือชาสมุนไพรจะดีกว่าค่ะ”
“ปัสสาวะบำบัด” ไม่ใช่หนทางเยียวยาอันน่ามหัศจรรย์อย่างที่หลายคนคิด ยังไม่มีหลักฐานยืนยันเพียงพอถึงประสิทธิภาพในการรักษาเยียวยาของปัสสาวะบำบัด แต่มีหลักฐานยืนยันทางการแพทย์ว่า “ปัสสาวะบำบัด” จะเป็นผลเสียต่อสุขภาพร่างกายอย่างแน่นอน เราอยู่ในยุคที่วิทยาการทางการแพทย์เจริญก้าวหน้าแล้ว ส่งผลให้มีแนวทางพัฒนาสุขภาพร่างกายเราอีกมากมาย ที่น่ารื่นรมย์กว่าการดื่มปัสสาวะ หรือเอามาเหยาะบนใบหน้าเราเอง