เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาได้มีการใช้โดรนเข้าโจมตีโรงกลั่นน้ำมันที่สำคัญ 2 แห่งของบริษัท Aramco ของรัฐบาลซาอุดิอาระเบีย จุดแรก คือ ที่ Abqaiq ซึ่งเป็นโรงงานกลั่นน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดของ Aramco ต่อมามีการโจมตีครั้งที่สองที่บ่อน้ำมัน Khurais
จากนั้น Mike Pompeo รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ออกมาประณามการโจมตีว่ามาจากฝีมือของอิหร่านผ่าน Twitter
Tehran is behind nearly 100 attacks on Saudi Arabia while Rouhani and Zarif pretend to engage in diplomacy. Amid all the calls for de-escalation, Iran has now launched an unprecedented attack on the world’s energy supply. There is no evidence the attacks came from Yemen.
— Secretary Pompeo (@SecPompeo) September 14, 2019
ล่าสุดโฆษกของกลุ่มกบฏ Houthi (มีถิ่นฐานอยู่ในพื้นที่ราบของอิหร่านได้สู้รบกับรัฐบาลเยเมนและกลุ่มพันธมิตรที่นำโดยซาอุดิอาระเบีย) ได้ออกมาบอกกับ Al Masirah TV ช่องทีวีที่สนับสนุนโดย Houthi ว่าการโจมตีครั้งนี้ได้ใช้โดรนโจมตีถึง 10 ตัว และผู้ให้การร่วมมือในซาอุฯ จัดว่าเป็นปฏิบัติการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของกองกำลัง Houthi และประกาศกร้าวว่าจะขยายขอบเขตเป้าหมายให้กว้างขึ้น
การโจมตีครั้งนี้ไม่มีการบาดเจ็บและมีผู้เสียชีวิต แต่ส่งผลให้มีการหยุดผลิตน้ำมันจากโรงกลั่นทั้งสองแห่ง ซึ่งเดิมทีโรงกลั่นทั้งสองมีกำลังการผลิตถึง 7% ของการผลิตทั่วโลก หากกำลังการผลิตลดลงจะส่งผลกระทบกับราคาน้ำมันโลกให้สูงขึ้น
ขณะนี้มีข้อสงสัยว่ากลุ่มกบฏ Houthi จะมีอาวุธระดับนี้มาจากไหน และสหรัฐอเมริกาก็ค่อนข้างจะชี้เป้าไปที่อิหร่านว่าให้การสนับสนุนหรือไม่ แต่อิหร่านได้ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหานี้
เมื่อสืบค้น 10 ประเทศตัวพ่อแห่งเทคโนโลยีโดรน ได้แก่ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ จีน อิสราเอล ปากีสถาน อิหร่าน อิรัก ไนจีเรีย โซมาเลีย และแอฟริกาใต้ (จาก Fortune.com) และการที่สหรัฐอเมริกาสนับสนุนซาอุดิอาระเบียซึ่งเป็นพันธมิตรฝ่ายรัฐบาลเยเมนที่ต่อสู้กับกลุ่มกบฏ Houthi ก็คงมีไม่กี่ประเทศที่เชื่อมโยงกัน แต่เพื่อความชัดเจนก็ขอให้เราติดตามรอดูกันอีกสักนิด ช่วงนี้อาจจะยังลับลวงพราง อีกไม่นานคงจะเห็นการเปิดหน้าสู้กันชัดเจนกว่านี้อย่างแน่นอน
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส