เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมามีข่าวหนูน้อยวัย 5 ขวบเกิดชูนิ้วกลางขึ้นมาระหว่างงานแสดงให้ผู้ปกครองชมในโรงเรียนเป็นระยะเวลาถึง 20 นาที ซึ่งแม่ของเธอ Carla Bovingdon เกิดความตกใจ จากนั้นเธอพูดให้หนูน้อยวัย 5 ขวบเข้าใจว่าต้องลดนิ้ว และแน่นอนว่าเธอลดนิ้วลงให้ จนแม่ของเธอมารู้ทีหลังว่าที่เธอยกนิ้วขึ้นมาเพราะเธอเจ็บนิ้วอยู่

เนื่องจากว่าเจ้าตัวเล็กยังเป็นเด็ก จึงไม่มีใครว่าอะไรเธอ แต่ในความเป็นจริง ซึ่งหลาย ๆ คนก็รู้อยู่แล้วว่าการชูนิ้วกลางนั้นถือว่าเป็นการด่าแบบเปิดเผย แต่มันมีที่มาอย่างไรล่ะ ทำไมถึงต้องเป็นนิ้วกลางกัน?

มีหลักฐานพบว่ามนุษย์เริ่มใช้นิ้วกลางในการสื่อสารครั้งแรกตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ เรียกว่า “katapygon” มีความหมายเชิงดูถูกกันแปลว่า “ผู้ชายที่โดนเข้าทางประตูหลัง”

ในละติน นิ้วกลางมีความหมายด้านเพศน้อยลง แต่มีความหมายเชิงดูถูกที่มากขึ้น เรียกว่า “digitus impudicus” ซึ่งหมายถึง ความไร้ยางอาย ไม่มีความสุภาพ หรือไม่เหมาะสม ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ที่ไม่ควรได้รับเป็นอย่างมากในสมัยนั้น จนปีคริสตศักราชแรก Persius ถูกทำเสน่ห์โดยหญิงที่ทำใช้นิ้วกลางลงสัญลักษณ์ที่หน้าผากก่อนจะร่ายมนต์อีกครั้ง

เมื่อมาถึงยุคกลาง อัศวินจะเริ่มยกหอกและเริ่มยกนิ้วกลางของตนขึ้นมาด้วย จึงมีความหมายในลักษณะใกล้กันระหว่าง หอก กับ นิ้วกลาง ต่อมาคือยุคคลาสสิก ระหว่างปี 1,700 – 1,800 ในช่วงเวลานี้นิ้วกลางถูกใช้แทนความหมายของเรื่องเพศ การขมขู่ และยังหมายถึงอวัยวะเพศชายโดยนิ้วกลางหมายถึงองคชาต และนิ้วข้าง ๆ หมายถึงอัณฑะนั่นเอง

มาจนถึงช่วงหลังปี 1,800 เป็นต้นไปที่สัญลักษณ์ดังกล่าวเดินทางมาถึงสหรัฐอเมริกาผ่านผู้อพยพชาวอิตาลี พบหลักฐานการปรากฏของนิ้วกลางครั้งแรกในปี 1,886 โดยนักกีฬาเบสบอล

นักกีฬาคนซ้ายบนสุดชูนิ้วกลาง ภาพจาก TheFingers.org

นักกีฬาคนซ้ายบนสุดชูนิ้วกลาง ภาพจาก TheFingers.org

ยุคปัจจุบัน นิ้วกลางยังเป็นสัญลักษณ์อันเก่าแก่ที่ถูกใช้งานอยู่จนทุกวันนี้ เพียงแต่ปัจจุบันนิ้วกลางถูกตีได้หลายความหมาย อาจจะเป็นการด่าเล่นสนุกกับเพื่อน การต่อต้าน การด่าทอแบบจริงจัง และอื่น ๆ แต่ถึงอย่างนั้นจากประวัติที่มาทั้งหมดนิ้วกลางก็เป็นสัญลักษณ์ที่ส่อความหมายในทางที่ไม่ดีเท่าไหร่นัก อย่าใช้กันเลยดีกว่าครับ

อ้างอิง Insider, Brainjet

 

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส