จากกรณีที่โจชัว ฮุทากาลุง (Josua Hutagalung) ช่างทำโลงศพชาวอินโดนีเซีย วัย 33 ปี ผู้อาศัยอยู่ที่ Kolang เมืองทางตอนเหนือของสุมาตรา กำลังต่อโลงศพอยู่ข้างบ้านเมื่อหินจากอวกาศพุ่งทะลุระเบียงห้องนั่งเล่น แล้วพบว่าอุกกาบาตมีมูลค่าถึง 56 ล้านบาท ทำให้เขากลายเป็นเศรษฐีในชั่วข้ามคืนนั้น กลับกลายเป็นว่า น่าจะเป็นการเข้าใจผิดเสียแล้ว
ล่าสุด โจซัวออกมาบอกกับหนังสือพิมพ์เดอะสตาร์ของมาเลเซียว่า เขาขายมันไปแค่ 200 ล้านรูเปียห์หรือประมาณ 14,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 425,782 บาท) และรู้สึกว่า ‘ถูกโกง’ เมื่อสื่อต่างประเทศหลายรายรายงานว่า เขาได้เงินจำนวน 56 ล้านบาทจากอุกกาบาตดังกล่าว
“ผมได้เงินมา 200 ล้านรูเปียห์ และใช้มันไปทั้งหมดในการช่วยเหลือครอบครัวเด็กกำพร้า และสร้างโบสถ์” เขากล่าว
เรื่องราวอุกกาบาตพุ่งชนนี้เกิดขึ้นในเดือนสิงหาคม ซึ่งการเดินทางทั่วโลกหยุดชะงักเพราะโควิด จาเร็ด คอลลินส์ (Jared Collins) ชาวอเมริกันที่อาศัยอยู่ในอินโดนีเซียอยู่แล้ว จึงได้รับการติดต่อจากผู้สะสมอุกกาบาตในสหรัฐฯ ให้เดินทางไปติดต่อขอซื้อให้
หลังจากเดินทางไปสุมาตราเพื่อพบโจซัวและตรวจสอบอุกกาบาต ผู้ซื้อในสหรัฐฯ ก็ตกลงราคากับโจชัวผ่านคอลลินส์ ซึ่งในตอนนั้นคอลลินส์เองก็กล่าวกับ BBC ว่าเขาตื่นเต้นอย่างยิ่ง
“มันเหลือเชื่อที่มีโอกาสได้ถือของที่ยังหลงเหลืออยู่จากช่วงแรก ๆ ของการสร้างระบบสุริยะของเรา แถมมันยังมีกลิ่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวซึ่งยากที่จะอธิบายเป็นคำพูด” คอลลินส์กล่าว
ในตอนนั้น ทั้งสองฝ่ายมองว่า จำนวนเงินดังกล่าวนั้นยุติธรรม และไม่มีใครโกงในข้อตกลงนี้ อย่างไรก็ตามไม่นานนักก็มูลค่าของอุกกาบาตดังกล่าวเริ่มปรากฏขึ้นในหัวข้อข่าวทั่วโลก โจชัวจึงออกมาแสดงความไม่พอใจผ่านสื่อดังกล่าว
นอกเหนือจากอุกกาบาตชิ้นโตของโจชัว ยังจำกันได้ไหมว่ามีเศษของอุกกาบาตอีก 2 ชิ้นที่พบไม่ห่างจากบ้านของโจชัวด้วย และปรากฏว่าตอนนี้มันไปโผล่อยู่ใน Ebay ในสหรัฐฯ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และทายสิว่ามันมีมูลค่าเท่าไหร่กัน
ราคาเสนอขายคือ 285 ดอลลาร์สำหรับ 0.3 กรัม และ 29,120 ดอลลาร์สำหรับ 33.68 กรัม ฐานคิดคือถ้าคุณทำลายมันลงเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจะเท่ากับประมาณ 860 ดอลลาร์ต่อกรัม เมื่อนำมาคูณกับน้ำหนักของก้อนหินขนาดใหญ่ก็จะได้เงินถึง 1.8 ล้านเหรียญ
“เมื่ออ่านสิ่งนี้จบ ผมถึงกับหัวเราะ” ลอเรนซ์ การ์วี (Laurence Garvie) ศาสตราจารย์ผู้ทำการวิจัยด้าน การสำรวจโลกและอวกาศ (School of Earth and Space Exploration) แห่งมหาวิทยาลัยแอริโซนา (Arizona State University) กล่าวกับ BBC พร้อมอธิบายว่า เขาเคยเห็นเรื่องทำนองนี้มาหลายครั้งแล้ว มีคนพบอุกกาบาตและก็เทียบราคาดูใน Ebay และเหมาเอาว่ามันมีมูลค่าหลายล้าน เพราะมองว่าอุกกาบาตชิ้นใหญ่ก็คือชิ้นส่วนขนาดเล็กจำนวนมากที่สามารถนำมาขายในราคาเดียวกันได้
“ผู้คนหลงใหลในการเป็นเจ้าของสิ่งที่มาจากอวกาศและเก่าแก่กว่าโลก ดังนั้น อาจมีคนยอมจ่ายเงินสักสองสามร้อยหรือพันดอลลาร์สำหรับชิ้นส่วนเล็ก ๆ แต่ไม่มีใครยอมจ่ายเงินหลายล้านสำหรับก้อนหินขนาดใหญ่หรอก และอันที่จริงแล้วยิ่งก้อนใหญ่เท่าไหร่ ราคาก็มักจะลดลงด้วยซ้ำ”
ดังนั้นแล้วมูลค่าที่แท้จริงของอุกกาบาตของโจชัวคือเท่าไหร่กันล่ะ ศาสตราจารย์การ์วีกล่าวว่า อุกกาบาตนี้เป็นดินเหนียวประมาณ 70-80% ถือเป็น ‘ดินโคลนนอกโลก (an extra-terrestrial mudball)’ อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก ออกซิเจน แมกนีเซียมอลูมิเนียม และแคลเซียม “ซึ่งอาจจะคุ้มค่าหนึ่งดอลลาร์อยู่นะ ถ้าผมเป็นคนใจกว้าง”
อย่างไรก็ตาม เจสัน สกอตต์ แฮร์ริน (Jason Scott Herrin) จาก Earth Observatory Singapore อธิบายว่า อุกกาบาตนี้ก็ยังเป็นเศษซากของระบบสุริยะยุคแรก ที่อาจให้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนการก่อตัวของดาวเคราะห์ได้
อีกทั้งยังมีทฤษฎีที่กล่าวว่าพวกมันมีสารประกอบอินทรีย์ เมื่อพุ่งชนโลกมาจึงทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตบนโลกอีกด้วย และนั่นก็หมายความว่าอุกกาบาตของโจชัวอาจมีเบาะแสของการกำเนิดชีวิตบนโลกเราก็ได้ ซึ่งนั่นก็ทำให้มูลค่าของมันไม่อาจวัดเป็นตัวเงินได้ ทั้งยังเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้คนหลงใหลยอมจ่ายเงินเพื่อครอบครองอุกกาบาตด้วย
เอาเถอะ รู้แบบนี้โจชัวก็คงจะไม่เสียใจเท่าไหร่แล้ว ก็ยังดีกว่าไม่ได้เงินสักแดงมาซ่อมหลังคาเลยละเนอะ
อ้างอิง
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส