ใคร ๆ ก็เอ็นดูแมวอ้วน แต่แมวทุกตัวที่ดูอ้วน จริง ๆ แล้วอาจจะไม่ได้น้ำหนักเกินเกณฑ์ก็ได้! เมื่อเรามองเจ้าเหมียวเดินแล้วเห็นส่วนท้องมันแกว่งไปมา การเปรียบเทียบพุงของมันเหมือนเป็นคนที่มีพุงใหญ่ย้อยนั้นอาจจะไม่ถูกซะเดียว
ผิวหนังส่วนที่แกว่งไปมามีชื่อเรียกภาษาอังกฤษว่า Primordial Pouch หรือ Cat Belly Flap ซึ่งเป็นถุงไขมันที่เป็นแผ่นปิดผิวหนังหลวม ๆ สามารถไหลไปตามความยาวท้องของเจ้าเหมียวได้ แมวทุกตัวจะมีถุงไขมันส่วนนี้ แต่อาจมีความแตกต่างกันในเรื่องของขนาด บางตัวอาจจะมีขนาดเล็ก และบางตัวอาจมีขนาดใหญ่
ปกติแล้วเราจะเห็นถุงไขมันของเจ้าเหมียวได้ง่ายที่สุดเวลามันวิ่ง เมื่อแมววิ่ง ถุงไขมันที่อยู่บริเวณด้านหน้าของขาหลังจะส่ายไปมาอย่างเห็นได้ชัด
นักวิทยาศาสตร์ ได้ให้เหตุผลเป็น 3 ทฤษฎีที่อธิบายว่า ทำไมเจ้าเหมียวถึงต้องมีถุงไขมัน ดังนี้
- ถุงไขมันช่วยปกป้องอวัยวะภายในของแมว เมื่อต้องต่อสู้กับสัตว์อื่น ๆ ด้วยการเพิ่มชั้นไขมัน ทำให้อวัยวะภายในของเหมียวปลอดภัยจากกรงเล็บหรือเขี้ยวของสัตว์อื่น ๆ
- ถุงไขมันทำให้แมวเคลื่อนไหวได้รวดเร็วขึ้น เมื่อมันวิ่ง ตัวถุงไขมันจะเกิดการยืด สร้างความคล่องแคล่ว และยืดหยุ่น เพื่อให้สามารถพุ่งไปได้ไกลกว่าเดิม
- ถุงไขมันเป็นพื้นที่กักเก็บพลังงานและอาหาร โดยหากมองในมุมของแมวที่ใช้ชีวิตอยู่ตามธรรมชาติ ส่วนมากแมวเหล่านั้นจะไม่ได้มีอาหารกิน 2 มื้อเหมือนแมวเลี้ยงทั่วไป แต่จะมีอาหารก็ต่อเมื่อล่าได้เท่านั้น และเมื่อกินเหยื่อเป็นอาหาร ไขมันก็จะถูกกักเก็บไว้ในบริเวณถุงไขมันของแมว
โดยปกติแล้วแมวที่อ้วนจะมีลำตัวกลมใหญ่ แตกต่างจากแมวที่มีถุงไขมันใหญ่ตรงที่แมวปกติจะมีลำตัวที่ดูเพรียวมากกว่า โดยเราจะสามารถมองเห็นรูปทรงในส่วนสะโพกของแมวได้ค่อนข้างชัด
ความเข้าใจเรื่องถุงไขมันของแมวมีประโยชน์สำหรับเหล่าทาสแมว เพราะทำให้รู้ว่า จริง ๆ แล้วเจ้าเหมียวของเราน้ำหนักเกินหรือแค่มีถุงไขมันที่ใหญ่ โดยหากบอกได้ว่า แมวที่เลี้ยงมีน้ำหนักเกิน ก็อาจจะต้องหาวิธีแก้ไข โดยการลดน้ำหนัก เพื่อลดโอกาสในการเกิดปัญหาทางสุขภาพของแมวที่เลี้ยง
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส