ปัญหาส่วนใหญ่ในปัจจุบันนั้นส่วนมากจะเกี่ยวของกับสมาร์ทโฟนที่ใช้กัน โดยปัญหาที่มีกันมากที่สุดนั้นคงจะไม่พ้นเรื่องแบตเตอรี่ โดยในปัจจุบันถึงแม้ว่าแบรนด์โทรศัพท์หลายแบรนด์ออกโทรศัพท์ที่มีแบตเตอรี่มากยิ่งขึ้นนั้น ก็ยังไม่ตอบโจทย์ของผู้ใช้ในปัจจุบันอยู่ดี ถึงจะมีแบตเตอรี่ที่ใหญ่ขึ้น ถ้าเล่นเกมกราฟฟิคมากๆ หรือใช้งานหนักๆ ก็อาจจะทำให้แบตเตอรึ่อยู่ได้เพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง
วันนี้แบไต๋นำทริคง่ายๆ เล็กๆ น้อยๆ 16 ทริคที่จะทำให้แบตเตอรี่สมาร์ทโฟนสามารถอยู่ได้นานขึ้นมาฝากกัน
1. เรียนรู้ฟีเจอร์ต่างๆในสมาร์ทโฟนรุ่นที่ใช้อยู่
สมาร์ทโฟนในปัจจุบันนี้มีผลิตกันหลายแบรนด์แตกต่างกันไปเยอะพอสมควร โดยแต่ละแบรนด์จะมีฟีเจอร์ในการใช้แตกต่างกัน โดยบางแบรนด์อาจจะมีฟีเจอร์สำหรับประหยักการใช้พลังงานแบตเตอรี่ โดยยกตัวอย่างเช่น Samsung นั้นก็จะมีฟีเจอร์ที่ชื่อว่า Ultra Power Saving Mode ซึ่งจะช่วยลดในการทำงานของตัวเครื่อง ลดความสว่างของหน้าจอ ปิดการใช้แอพที่ทำงานพื้นหลัง และเปลี่ยนหน้าโฮมสกรีนเป็นสีขาวดำ
ซึ่ง HTC ยังมีฟีเจอร์ที่ใกล้เคียงกับของ Samsung ด้วยชื่อว่า Extreme Power Saving Mode โดยจะมีความสามารถในการทำงานเหมือนกัน ทั้งช่วยลดในการทำงานของตัวเครื่อง ลดความสว่างของหน้าจอ ปิดการใช้แอพที่ทำงานพื้นหลัง และเปลี่ยนหน้าโฮมสกรีนเป็นสีขาวดำ โดยผู้ใช้สมาร์ทโฟนแต่ละแบรนด์นั้นต้องไปศึกษากันอีกทีว่าแบรนด์ของสมาร์ทโฟนของตนนั้นมีฟีเจอร์อะไรบ้าง
2. ปร้บความสว่างหน้าจอแบบ Manual
ในอุปกรณ์ Android ทุกรุ่นนั้นจะมีความสามารถที่จะทำให้ผู้ใช้สามารถปรับความสว่างของหน้าจอได้อยู่แล้ว โดยคนส่วนใหญ่มักจะให้ปรับแสงแบบอัตโนมัติที่ช่วยในเรื่องการปรับแสงเข้ากับความสว่างในที่นั้นๆ ได้อัตโนมัติ ซึ่งจริงๆแล้วมันจะส่งผลกระทบต่อการใช้งานของแบตเตอรี่ด้วย
ในฟังค์ชั่นการปรับแสงอัตโนมัตินั้นมีกันทุกเครื่อง ซึ่งบ่อยครั้งที่หน้าจอจะถูกปรับแสงให้สว่างกว่าที่ควร จึงทำให้ลดประสิทธิภาพในการใช้งานแบตเตอรี่ลงด้วย ซึ่งทางที่ดีที่สุดก็ควรที่จะปรับแสงสว่างหน้าจอเองเพื่อประสิทธิภาพในการใช้งานแบตเตอรี่
3. ตั้งเวลาพักหน้าจอให้เร็วขึ้น
ถ้าดูในกราฟของแบตเตอรี่ในการตั้งค่าของ Android นั้น ส่วนมากผู้ใช้จะพบว่า Screen หรือหน้าจอนั้นจะมีการใช้แบตเตอรี่มากที่สุดในบรรดาเหล่าแอพทั้งหลาย ซึ่งไม่ต้องแปลกใจเลยว่าทำไมเวลาที่หน้าจอเปิดอยู่ถึงส่งผลกับแบตเตอรี่มากถึงขนาดนี้
ซึ่งวิธีแก้ก็ง่ายๆ เราแค่ไปตั้งค่าเวลาพักหน้าจอให้ไวขึ้น ปกติหลายๆ คนก็จะตั้งไว้ที่ 1 นาที หรือ 2 นาที ซึ่งเราสามารถไปตั้งให้เหลือแค่ 15 – 30 วินาทีได้
4. ใช้พื้นหลังสีดำกับจอ AMOLED
หลังจากที่พูดถึงความสว่างและเวลาพักหน้าจอมาแล้ว ในแสงสว่างนั้นยังมีรายละเอียดอีก ถ้าจอนั้นเป็นแบบ AMOLED นั้นโดยจะมากในเหล่าอุปกรณ์ Samsung ก็จะสามาระตั้งจอสีดำเพื่อประหยัดพลังงานได้ แต่อุปกรณ์ที่ใช้ LCD ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับตรงนี้
5. ใช้ธีมมืดๆ สำหรับจอ AMOLED
นอกจากการใช้พื้นหลังสีดำกับจอ AMOLED ช่วยประหยัดพลังงานแล้วนั้น ถ้าแอพไหนมีธีมให้เราสามารถเปลี่ยนไปใช้แบบมืดๆ ได้ก็แนะนำว่าให้เปลี่ยน เพื่อช่วยประหยัดพลังงานอีกทางนึง
6. ปิดความสามารถต่างๆ ที่ไม่ได้ใช้
เคยมั๊ย?? ที่มีคนบอกว่า ออกจากห้องให้ปิดไฟ ไม่ใช้อะไรให้ปิด ซึ่งโทรศัพท์ก็เหมือนกัน พวก Bluetooth, NFC และ WiFi นั้นเป็นส่วนหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อแบตเตอรี่จำนวนมากเหมือนกัน ก็ควรที่จะปิด
WiFi นั้น ผู้ใช้ทั่วไปมักจะเปิดทิ้งไว้ แม้ว่าจะไม่ได้เชื่อมต่อกันสัญญาณ WiFi ตัวเครื่องก็จะหาสัญญาณต่อไป ทุกคนคงเคยเห็นว่ามีการแจ้งเตือนขึ้นมาแจ้งว่ามีสัญญาณ WiFi ในระยะนี้
7. ใช้โหมดเครื่องบินแม้จะไม่ได้อยู่บนเครื่องบิน
ถ้าใครเคยขึ้นเครื่องบินก็น่าจะเคยได้ยินที่แอร์โฮสเตสหรือพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินแนะนำว่าให้ปิดเครื่องหรือเปิดโหมดเครื่องบินตอนที่เครื่องกำลังขึ้นและลง แต่เราก็ยังสามารถเปิดโหมดเครื่องบินได้แม้ว่าเราจะอยู่บนพื้นดิน แถมยังช่วยประหยัดแบตเตอรี่อีกด้วย
โหมดเครื่องบินนั้นจะทำการปิดการรับสัญญาณโทรศัพท์ รวมทั้ง WiFi และ Bluetooth เช่นเดียวกันกับข้อ 6 รวมถึงยังสามารถเปิดในตอนที่อยู่ในโรงหนัง หรือ งีบหลับ
8. ปิดการซิงค์อัตโนมัติกับบัญชีที่ไม่ต้องการ
ถ้าใช้แอพของ Google เยอะๆนั้น Google จะมีการซิงค์อัตโนมัติให้แต่ละแอพในพื้นหลังโดยเราไม่รู้ โดยถ้าเรามีบัญชีที่เราไม่ค่อยได้ใช้นั้น ให้เราไปปิดการซิงค์อัตโนมัติเพื่อการประหยัดแบตเตอรี่
9. ให้แอพ Google หยุดฟังคำสั่งตลอดเวลา “OK Google”
ปกติแอพของ Google Now ที่รับฟังคำสั่ง OK Google นั้นค่าปกตินั้นจะตั้งไว้ที่ให้ฟังจากหน้าโฮมสกรีนอย่างเดียว ซึ่งก็มีผู้ใช้อยากลองเล่นฟีเจอร์นี้โดยที่ไม่อยู่หน้าโฮมสกรีน ก็ไปเปิดให้แอพฟังคำสั่งตลอดเวลา แต่ก็มีข้อเสียว่าจะกินพลังงานจำนวนมาก ถ้าอยากประหยัดแบตเตอรี่นั้นแนะนำให้ปิดไว้จะดีที่สุด
10. เปิดโหมดประหยัดพลังงาน
คล้ายๆกับทิปข้อแรก โดยใน Android ตั้งแต่รุ่น 6.0 ขึ้นไปจะมีโหมดประหยัดพลังงานมาให้กับทุกๆเครื่อง โดยจะไม่เหมือนกับฟีเจอร์ในข้อที่ 1 เพียงแค่จำกัดขีดในการทำงาน ลดแสงสว่างลง และปิดการใช้งานแอพพื้นหลังบางตัว
11. อัพเดทแอพให้ล่าสุดตลอดเวลา
แอพนั้นก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่กินพลังงานแบตเตอรี่โดยถ้าเวลามีอัพเดทแอพนั้น นักพัฒนามักจะแก้ไขบั๊กและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานซึ่งบางแอพก็จะรวมถึงการใช้พลังงานแบตเตอรี่ด้วย โดยสามารถไปตั้ง auto-update ได้ใน Google Play Store
12. ติดตั้งแอพช่วยประหยัดแบตเตอรี่
ทุกวันนี้นักพัฒนาได้พัฒนาแอพออกมามากมาย และก็มีแอพสำหรับประหยัดแบตเตอรี่มากมายเช่นเดียวกัน แต่ก็มีแอพจำนวนหนึ่งที่ใช้การหยุดแอพพื้นหลังแต่จะทำให้ส่งผลต่อการทำงานและแบตเตอรี่
ซึ่งมีแอพอยู่หนึ่งตัวชื่อว่า Greenify จะช่วยระบุแอพทึ่ไม่มีการใช้งานก็จะเข้าสู่การไฮเบอร์เนตหรือพักไว้ชั่วคราวเมื่อไม่มีการใช้งานเพื่อลดการใช้พลังงานแบตเตอรี่ของแอพนั้นๆ โดยสามารถดาวน์โหลดได้ที่ Google Play Store
13. ใช้ข้อดีของ Doze ใน Android 6.0
ใน Android 6.0 นั้น Google ได้เพิ่มความสามารถในการประหยัดพลังงานได้ดียิ่งขึ้นที่ชื่อว่า Doze จะสามารถเพิ่มระยะเวลาในการใช้งานแบตเตอรี่ได้
โดยในตอนที่เรานอนหลับพักผ่อนนั้น ตัวเครื่องก็จะหลับไปตามๆ เรา ซึ่งจะเข้าสู่ Doze Mode โดยอัตโนมัติ โดยเราจะยังสามารถได้รับการแจ้งเตือนจากแอพที่สำคัญๆ อยู่ในขณะที่อยู่ใน Doze Mode
14. เสริมทัพด้วยแบตเตอรี่และเคส
โดยถ้าสมาร์ทโฟนมีแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้แค่ไม่เท่าไรนั้น ถ้าอุปกรณ์นั้นสามารถเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้ก็แนะนำว่าให้ซื้อแบตเตอรี่เผื่อเปลี่ยนด้วยเลย ชาร์ตก้อนสำรองให้เต็มไว้ ก้อนในเครื่องหมดเมื่อไรก็ไม่มีปัญหา
แต่ถ้าเป็นเครื่องที่ไม่สามารถถอดแบตเตอรี่เปลี่ยนได้นั้นก็มีเคสที่สามารถเป็นแบตเตอรี่สำรองได้ในตัว
15. Power Bank ช่วยชีวิต
วิธีนี้ก็คงจะเป็นวิธีที่ฮิตติดอันดับก็เรียกว่าได้ ในการพกแบตเตอรี่สำรองพกพาหรือพาวเวอร์แบงค์ที่เรียกกันจนติดปากติดตัวไปด้วยนั้นจะไม่ได้ระบุรุ่นแน่ชัดเหมือนกับข้อ 14 ใช้ได้กับทุกรุ่นเพียงแค่มีสายชาร์จ โดยในปัจจุบันนั้นมีหลายแบรนด์ผลิตออกมาซึ่งมีหลายขนาด หลายสี หลายแบบให้เลือกซื้อกันได้
16. ศึกษาข้อมูลและสอบถามข้อมูลจากที่ต่างๆ
ก่อนการซื้อนั้นผู้ใช้อาจจะต้องศึกษาเปรียบเทียบสเปก ราคาก่อน ซึ่งอีกอย่างหนึ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือเรื่องแบตเตอรี่นั้น อาจจะต้องไปเปรียบเทียบกับรุ่นอื่นๆ รวมถึงถ้าใครมีอุปกรณ์แล้วมีปัญหาอะไรก็ลองไปปรึกษาที่เว็บไซต์ต่างๆได้
ที่มา: PhanDroid