เชื่อว่าหลายคนเมื่อได้เห็นเกมชื่อดังในตลาดกำลังขายได้ขายดีเหมือนแจกฟรี เกือบทุกคนคงจะคิดว่าเกมเหล่านั้นต้องถูกวางแผนพัฒนาก่อนขายมาอย่างดี ทั้งการโปรโมทการทำการตลาดไปจนถึงการพัฒนาเกมจนเกมออกมาสมบูรณ์แบบถูกใจแฟนเกม ทั้งที่ความจริงแล้วเบื้องหลังเกมเหล่านั้นหลายเกมเกือบจะไม่ได้ถูกสร้างด้วยซ้ำ แต่ด้วยโชคชะตากำหนดหรือฟ้าลิขิตบวกกับความพยายามของเหล่าพัฒนาเกม จึงทำให้หลายเกมที่เกือบไม่ได้สร้างประสบความสำเร็จและมันก็โด่งดังตามที่ทีมพัฒนาคาดหวัง เรามาดูกันว่ามีเกมอะไรซีรีส์ไหนบ้างที่เกือบจะไม่ได้เกิดในวงการเกม แต่สุดท้ายก็ได้เกิดและโด่งดังในวงการเกมมาดูไปพร้อมกันเลย
เปลี่ยนเกมธรรมดาที่สู้กัน 4 คนมาเป็น Battle Royale All Stars จากเกม Super Smash Bros
เริ่มต้นเรื่องแรกกับจุดกำเนิดเกมในตำนานของ ‘Nintendo’ อย่าง ‘Super Smash Bros’ ที่กว่าจะมาเป็นเกม ‘Battle Royale All Stars’ ที่เราเห็นนั้นตัวเกมมีจุดเริ่มต้นมาจากเกมต่อสู้พร้อมกัน 4 คนในฉากที่เป็นตัวละครใหม่ทั้งหมดในชื่อ ‘Dragon King The Fighting Game’ แต่ทางฝ่ายออกแบบ มาซาฮิโระ ซะกุไร (Masahiro Sakurai) และ ซาโตรุ อิวาตะ (Satoru Iwata) ที่ในตอนนั้นยังไม่ได้เป็นประธาน ‘Nintendo’ เห็นว่าตัวเกมไม่น่าจะไปรอด เพราะจุดเด่นของเกมแนวต่อสู้คือตัวละคร การสร้างตัวละครใหม่ให้คนเล่นมารู้จักมันค่อนข้างเสี่ยงและมีโอกาสที่คนจะไม่ชอบ ทั้งคู่จึงไปโน้มน้าวทาง ‘Nintendo’ ให้เปลี่ยนแนวทางเกม โดยการเอาตัวละครจากค่ายมาสู้กันแบบ ‘Battle Royale’ จะดีกว่า ซึ่งกว่าที่ทาง ‘Nintendo’ จะไฟเขียวก็ทั้งคู่ก็ลุ้นว่าจะผ่านไหม เพราะถ้าไม่ผ่านเราคงไม่ได้เห็นเกมที่เป็นเสาหลักของค่ายอย่าง ‘Super Smash Bros’ ออกมาอย่างแน่นอน
ต้องใช้เวลาหลายเดือนในการโน้มน้าวใจสมาชิกทีมให้สนับสนุนการสร้างเกม Devil May Cry
สำหรับแฟน ๆ ‘Resident Evil’ คงจะทราบกันดีอยู่แล้วว่าเกมซีรีส์ ‘Devil May Cry’ นั้นถือกำเนิดมาจากการสร้าง ‘Resident Evil 4’ แต่ตัวเกมกลับมีความเป็นแอ็กชันมากเกินไป จน ฮิเดกิ คามิยะ (Hideki Kamiya) ที่รับหน้าที่ทำเกมภาคต่อของ ‘Resident Evil 4’ ได้ขอไปทาง ชินจิ มิคามิ (Shinji Mikami) ว่าเกมนี้เหมาะจะเป็นเกมใหม่ดีกว่าจะเป็นเพียงภาคต่อของ ‘Resident Evil’ ที่ไม่มีความเป็น ‘Resident Evil’ จนทางมิคามิไฟเขียวเกมนี้จึงถือกำเนิดขึ้นมา นั่นคือสิ่งที่เรารู้จากข้อมูลในสร้างเกม ‘Devil May Cry’ แต่ความจริงแล้วว่าที่เกม ‘Devil May Cry’ จะได้รับการสร้างอย่างเป็นทางการนั้น ทางมิคามิต้องใช้เวลาหลายเดือนในการโน้มน้าวใจสมาชิกทีมให้สนับสนุนการสร้างเกม ‘Devil May Cry’ เพราะตอนนั้นหัวหน้าฝ่ายพัฒนาของ ‘Capcom’ สนใจแต่การสร้าง ‘Resident Evil 4’ ให้เสร็จ เพราะในตอนนั้นตัวเกม ‘Resident Evil 4’ ยังลูกผีลูกคน จนถูกล้มโครงการสร้างใหม่ไปแล้วถึง 3 ครั้ง จนทางมิคามิต้องมาลงมือจัดการเองจน ‘Resident Evil 4’ เป็นรูปเป็นร่าง โครงการ ‘Devil May Cry’ จึงได้เกิดขึ้น ต้องยกความดีความชอบให้มิคามิจริง ๆ เพราะถ้าไม่มีเขาทั้งสองเกมนี้คงไม่ได้เกิดขึ้นมาแน่นอน
ได้รับอิทธิพลจากเกมยิงในตอนนั้นจนไม่มีความเป็นตัวเอง Doom (2016)
ย้อนกลับไปในปี 2016 นับเป็นการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ของเกมเดินยิงมุมมองบุคคลที่ 1 ระดับตำนานอย่าง ‘Doom’ ซึ่งใครที่เคยเล่นเกมนี้มาแล้ว จะรู้สึกถึงความรวดเร็วในการควบคุมที่ต้องเคลื่อนไหวตลอดเวลา และเมื่อพลังชีวิตเราใกล้หมดเกมอื่นต้องหนีไปหาทางเพิ่มพลัง แต่ของ ‘Doom’ พลังยิ่งหมดเรายิ่งต้องลุยเพราะศัตรูจะให้ยารักษาถ้าเราฆ่ามันได้ มันจึงเป็นความสนุกโหดดิบที่แฟนยุคเก่าก็ยังชอบแฟนยุคใหม่ก็ชื่นชมในความสนุก แต่กว่าที่เราจะได้เห็นเกม ‘Doom’ ออกมาเป็นอย่างที่เห็นตอนนี้ตัวเกมเคยเริ่มโครงการในชื่อ ‘Doom 4’ มาก่อน โดยรูปแบบการเล่นการควบคุมนั้นจะอ้างอิงมาจากเกมแนวยิงชื่อดังในยุคนั้น จนทีมงานออกมาแซะกันว่ามันคือเกมโคลน ‘Call of Duty’ รวมกับปัญหาเกี่ยวกับผู้ให้กำเนิดเกมนี้อย่าง จอห์น คาร์แมค (John Carmack) ออกไปจากบริษัท จนทำให้ตัวเกมไม่รู้ว่าจะไปในทิศทางไหน จนสุดท้ายโครงการ ‘Doom 4’ จึงถูกยุบไปแม้จะมีภาพหลุดออกมา (ทางค่ายออกมาปฏิเสธว่าไม่เคยสร้าง ‘Doom 4’ แต่แฟน ๆ ไม่เชื่อ) หลังจากกลับมาตั้งหลักทางทีมงานก็เอา ‘Doom’ มาตีความใหม่ โดยการเพิ่มความเร็วในการเล่นเพิ่มระบบต่อสู้ให้ดุเดือดขึ้นกว่าเดิม จนกลายเป็น ‘Doom (2016)’ ที่เราได้เห็น ซึ่งในตอนนั้นถ้าทีมงานยังดึงดันทำ ‘Doom4’ ที่เป็นโคลน ‘Call of Duty’ เราคงไม่ได้เห็นเกมยิงชื่อดังเกมนี้กลับมาอย่างยิ่งใหญ่แบบตอนนี้
ปรับให้ง่ายขึ้นเพื่อเอาใจผู้เล่นใหม่ Fire Emblem Fates
กลับมาที่ ‘Nintendo’ อีกครั้งกับเกมวางแผนระดับตำนานของค่ายอย่าง ‘Fire Emblem’ เกมชื่อดังที่มีประวัติมาอย่างยาวนานตั้งแต่อดีต ในความสนุกของการวางแผนการรบและเนื้อเรื่องที่เข้มข้น แต่เมื่อตัวเกมผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนาน เอกลักษณ์บางอย่างที่รักษาไว้อย่างระบบตัวละครตายแล้วตายเลยไม่ฟื้น หรือความยากที่โหดหินไม่สามารถปรับได้ จึงทำให้แฟน ๆ ยุคใหม่เข้าไม่ถึงเกมซีรีส์นี้อย่างเคย ซึ่งในระหว่างการพัฒนาเกม ‘Fire Emblem Awakening’ ผู้พัฒนาอย่าง ‘Intelligent Systems’ ได้รับแจ้งจาก ‘Nintendo’ ว่า ความนิยมของซีรีส์นี้ลดลงมากโดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ที่หาก ‘Fire Emblem Awakening’ ขายได้น้อยกว่า 250,000 ชุดเกมซีรีส์นี้จะถูกลอยแพทันที (แต่ก็ผ่านมาได้) เมื่อเริ่มภาคใหม่ทางทีมงานเลยต้องมานั่งจับเข่าคุยว่าจุดที่แฟน ๆ ไม่ชอบในซีรีส์นี้คือตรงไหนก่อนจะแก้ไข โดยเริ่มจากความยากที่สามารถปรับได้ รวมถึงระบบฟื้นคืนชีพของตัวละคร (ใครอยากได้แบบตายแล้วตายเลยก็ไปเล่นโหมดยาก) และระบบการสอนผู้เล่นใหม่ ส่วนเนื้อเรื่องก็เริ่มใหม่แต่ยังคงความเข้มข้น จนทำให้ ‘Fire Emblem Fates’ กลับมาอย่างยิ่งใหญ่สมใจแฟน ๆ มาจนถึงตอนนี้ นี่ถ้ายังดึงดันไม่คิดเปลี่ยนซีรีส์ ‘Fire Emblem’ คงไปนอนก้นหลุมเหมือนเกมอื่น ๆ แน่นอน
สนุกแต่ไม่รู้จะทำตลาดอย่างไร Call of Duty’s Zombies
เรียกว่าเดินมาถูกที่ถูกทางเลยทีเดียวกับ ‘Call of Duty’s Zombies’ ที่เริ่มต้นจากเกมเล็ก ๆ เอาไว้เล่นแก้เบื่อในโหมดเสริมของ ‘Call of Duty World at War’ ในปี 2008 ที่ทุกคนในตอนนั้นที่ได้เล่นต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า โหมดซอมบี้ในเกมนี้เล่นสนุกมาก ๆ จนสุดท้ายมันก็กลายเป็นตัวชูโรงที่ขาดไม่ได้ใน ‘Call of Duty’ ทุกภาคนับจากนั้น แต่หลายคนอาจจะไม่ทราบมาก่อนว่า ความจริงแล้วเกมโหมดนี้เกือบจะไม่ได้ถูกเอามาใส่ในเกม เพราะเหล่าผู้บริหาร ‘Activision’ ที่ได้เล่นเกมนี้ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เกมโหมดซอมบี้มันเล่นสนุกแต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำการตลาดอย่างไร เพราะตัวเกมแนวนี้มันขัดกับเนื้อหาเกมหลักไปพอสมควร ซึ่งทาง มาร์ค ลาเมีย (Mark Lamia) หัวหน้า ‘Treyarch’ ก็ได้บอกฝ่ายบริหารว่า “อย่าไปทำอะไรกับมัน ปล่อยให้โหมดนี้เป็น ‘Easter Egg’ ไว้อย่างนั้น และให้คนเล่นตัดสินใจกันเองว่าเกมนี้สนุกไหม” ซึ่งนับว่าเป็นความคิดที่ถูกมาก ๆ เลยทีเดียว ซึ่งถ้าตอนนั้นทางมาร์คเชื่อฝ่ายบริหารแล้วไม่ใส่โหมดซอมบี้ลงไป เราคงอดเล่นโหมดการเล่นสุดสนุกของเกมนี้อย่างแน่นอน เพราะถ้าไม่มีโหมดซอมบี้เกมคงน่าเบื่อมาก ๆ ซึ่งทางผู้บริหารทำถูกแล้วที่ยังใส่เกมนี้ลงไป
ถ้า Nintendo ได้สร้างเกม Popeye เกม Donkey Kong กับ Mario ก็จะไม่ได้เกิดขึ้นมาบนโลก
สำหรับหัวข้อนี้เรียกว่าเป็นการเปลี่ยนประวัติศาสตร์วงการเกมได้เลยทีเดียว โดยต้องย้อนกลับไปในอดีตสมัยที่ ‘Nintendo’ กำลังตั้งไข่ในวงการเกมช่วงปลายทศวรรษ 1970 ทาง ชิเงรุ มิยาโมโตะ (Shigeru Miyamoto) อยากได้สิทธิ์ในการทำเกม ‘Popeye’ วางขายในอเมริกา เพราะภาพยนตร์เพลง ‘Popeye’ ที่นำแสดงโดย โรบิน วิลเลียมส์ (Robin Williams) กำลังโด่งดัง แต่ทาง ‘Nintendo’ กับถูกบอกปัดไป ทางชิเงรุจึงต้องเปลี่ยนแนวทางสร้างเกมมาเป็นตัวละครที่คิดขึ้นมาเอง โดยใช้ลิงยักษ์จาก ‘King Kong’ มาเป็นตัวละคร และสร้างช่างไม้อย่าง ‘Jumpman’ ขึ้นมาทดแทนตัวละครในเรื่อง ‘Popeye’ ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเกมเป็น ‘Donkey Kong’ และที่หลายคนยังไม่ทราบ ตัวเกม ‘Donkey Kong’ ที่เราได้เล่นในยุคนั้นความจริงคือเกม ‘Popeye’ ที่ชิเงรุต้องการสร้าง แต่เมื่อไม่ได้สิทธิ์ในตัวละครจึงต้องเปลี่ยนตัวละครทั้งหมด ซึ่งถ้าตอนนั้นทาง ‘Nintendo’ ได้สิทธิ์สร้างเกม ‘Popeye’ เราคงไม่ได้เห็นลุงหนวด มาริโอ้ (Mario) วิ่งไปมาในวงการเกมแน่นอน
ถ้าแฟน ๆ ไม่ถามถึงโครงการนี้คงถูกยกเลิกไปแล้ว The Last Guardian
หลังจากความสำเร็จใน ‘Ico’ และ ‘Shadow of the Colossus’ ทางทีมพัฒนา ‘Team Ico’ ก็ต้องแบกความหวังของแฟน ๆ ในการพัฒนาเกมที่ดีมากขึ้นกว่าเดิมจนออกมาเป็นเกม ‘The Last Guardian’ ที่จะวางจำหน่ายบน ‘PlayStation 3’ แต่ด้วยความล่าช้าในการพัฒนา เกมนี้จึงถูกโอนไปยังเครื่องถัดไปอย่าง ‘PlayStation 4’ แทน บวกกับปัญหาที่ผู้ก่อตั้ง ‘Team Ico’ และผู้กำกับเกม ฟุมิโตะ อูเอดะ (Fumito Ueda) ได้ออกจาก ‘Sony’ จนเหลือทีมพัฒนาเดิมไม่กี่คนจนโครงการเกมนี้จึงถูกระงับเอาไว้ไม่มีคนสานต่อ แต่ทางประธานบริษัท ‘Sony Interactive’ ชูเฮ โยชิดะ (Shuhei Yoshida) ออกมาบอกว่า “คนจำนวนมากถามเราเกี่ยวกับเกม ‘The Last Guardian’ จึงเป็นกำลังใจให้เรายังคงพัฒนาเกมนี้ต่อไป” ทาง ‘Sony’ จึงติดต่อไปยัง ‘genDESIGN’ สตูดิโอแห่งใหม่ของอูเอดะและสมาชิก ‘Team Ico’ เก่ามาสานงานที่ค้างเอาไว้จนเสร็จ ซึ่งถ้าไม่ได้เสียงเรียกร้องของแฟน ๆ เราคงไม่ได้เล่นเกมสนุก ๆ เกมนี้แน่นอน ใครที่ยังไม่เคยเล่นบอกเลยคุณพลาดของดีไปแล้ว
Pokemon Gold and Silver จะเป็นภาคสุดท้ายของซีรีส์
ปิดท้ายกับการตัดสินใจที่ถูกต้องของ สึเนคาสึ อิชิฮาระ (Tsnuekazu Ishihara) ‘CEO Pokemon Company’ ยังคงสานต่อเกมซีรีส์ ‘Pokemon’ ให้ไปต่อในภาค ‘Pokemon Crystal Version’ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ทางอิชิฮาระต้องการหยุดสร้างเกมซีรีส์นี้ และให้มันจบลงที่ภาค ‘Pokemon Gold and Silver’ โดยทาง อิชิฮาระให้สัมภาษณ์ในปี 2010 ว่า “เกม ‘Pokemon Gold and Silver’ คือทุกอย่างที่ทีมพัฒนาต้องการทำแต่ไม่ได้ทำในภาคที่แล้ว ไปจนถึงทุกอย่างที่ ‘Pokemon’ ควรมีก็ถูกทำและใช้จนหมดแล้วในภาคนี้ และตัวเกมก็มาถึงจุดอิ่มตัวกับการจบเรื่องราวเอาไว้ตรงนี้จึงเหมาะสมมาก ๆ” แต่เมื่อยอดขายเกม ‘Pokemon Gold and Silver’ ขายดีขายดิบเหมือนแจกฟรี ทางอิชิฮาระก็เปลี่ยนแนวคิดและพัฒนา ‘Pokemon Crystal Version’ ออกมาต่อทันที จนทำให้เราเห็นเกมซีรีส์ ‘Pokemon’ ยังอยู่มาจนถึงตอนนี้ เกือบไม่ได้ไปต่อแล้วไหมละ
ก็จบกันไปแล้วกับ 8 เรื่องราวของเกมชื่อดังที่เกือบไม่ได้แจ้งเกิดในวงการเกมด้วยเหตุผลต่าง ๆ ซึ่งถ้ามีคนสามารถย้อนเวลาแล้วไปเปลี่ยนเนื้อหาตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อย มันอาจจะทำให้เราไม่ได้เห็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในตอนนี้ก็ได้ และนอกจาก 8 เกมนี้ยังมีอีกหลายเรื่องราวเกมอื่น ๆ อีกหลายเกม ที่เอาไว้มีโอกาสเราจะหยิบมาพูดถึง ใครที่สนใจยังไงก็บอกกันมาได้ ส่วนคราวหน้าจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไรในวงการเกมการ์ตูนก็ติดตามกันได้ที่นี่ที่เดียว รับรองไม่พลาดทุกข่าวสารวงการเกมแน่นอน
อ้างอิง https://www.svg.com/146093/video-game-classics-that-were-almost-never-made/
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส