Red Dead Redemption 2 ผลงานล่าสุดของผู้พัฒนาชื่อก้อง Rockstar Games (มีผลงานเก่า อาทิ ซีรีส์ Grand Theft Auto, Max Payne) เป็นเกมสไตล์แอคชั่นผจญภัย ที่มีบรรยากาศแบบอเมริกันโอลด์เวสต์ยุคปี 1899 และได้รับคำชื่นชมจากสำนักวิจารณ์อย่างล้นหลาม โดยเฉพาะด้านรายละเอียดความสมจริง เนื้อเรื่องที่เข้มข้น และตัวละครที่มีพัฒนาการน่าติดตาม
ในเกมนี้เราจะได้รับบทเป็น ‘อาเธอร์ มอร์แกน’ (Arthur Morgan) ผู้เป็นส่วนหนึ่งของแก๊ง ‘แวนเดอร์ลินด์’ (Van der Linde) กลุ่มอาชญากรรมที่พบว่ายุคสมัยของคนนอกกฏหมายแบบตนนั้นหมดไปแล้ว อารยธรรมคืบคลานมาปกคลุม สังคมทุนนิยมเติบโตเข้มแข็ง กลุ่มแก๊งมากหน้าหลายตาไม่อาจหนีพ้นกฏหมายบ้านเมือง เหล่าแวนเดอร์ลินด์ก็เช่นกัน พวกเขายากจะยอมรับได้และยากจะปรับตัวกับความเปลี่ยนแปลง
เนื่องจากเกมนี้มีเนื้อหาที่กว้างใหญ่ มีเหตุการณ์ย่อยและเควสเสริมมากมายหลายเควส บางจุดก็จะต่างกันไปในการเล่นของแต่ละคน ตามเส้นทางการเล่นแบบ Honorable และ Dishonorable บทความนี้เป็นเนื้อเรื่องจากการเล่นแบบ Honorable ที่จะพูดถึงเรื่องราวของอาเธอร์เป็นหลัก และสอดแทรกความรู้สึกนึกคิดของเขาที่ถ่ายทอดผ่านทางสมุดบันทึกในเกมค่ะ
พร้อมแล้วก็มาเริ่มกันได้เลย!
คำเตือน : มีการสปอยล์เนื้อหาสำคัญของเกม
เรื่องราวของความภักดี
หมุนนาฬิกาย้อนกลับไปในคริสต์ศักราช 1878 ณ จุดที่เรื่องราวเริ่มต้นขึ้น เมื่ออาเธอร์ได้พบกับ ดัตช์ และ โฮเซ่…
‘May I stand unshaken?
ฉันจะยืนหยัดได้ละหรือ
Amid, amidst a crashing world…
ท่ามกลางโลกที่กำลังจะย่อยยับไป…’
-เพลงประกอบ Red Dead Redemption 2
‘Unshaken’ โดย D’Angelo
อาเธอร์เกิดในครอบครัวที่ห่างไกลจากความสมบูรณ์แบบ พ่อของเขาเป็นโจรที่ไม่มีทั้งชื่อเสียงและเงินทอง ถูกจับด้วยข้อหาลักเล็กขโมยน้อย หลังจากแม่ตาย อาเธอร์ที่มีอายุได้เพียง 14 ปีร่อนเร่เอาชีวิตรอดด้วยตนเองจนพานพบกับ ‘ดัตช์ แวนเดอร์ลินด์’ (Dutch van der Linde) และ ‘โฮเซ่ แมทธิวส์’ (Hosea Matthews) สองโจรหนุ่มผู้มากฝีมือและมากอุดมการณ์
ทั้งสามคนกลายเป็นสมาชิกรุ่นแรกของแก๊ง แวนเดอร์ลินด์ ที่ตั้งชื่อตามดัตช์ ซึ่งอยู่ในตำแหน่งหัวหน้าเพราะความเป็นผู้นำอันโดดเด่น และอุดมการณ์ที่น่านับถือ ดัตช์เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนควรได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระ ไม่เป็นทาสของคนรวย ไม่ตกอยู่ในการควบคุมของผู้มีอำนาจที่ฉวยโอกาสจากต้นทุนชีวิตที่มีไม่เท่ากัน
อาวุธอันโดดเด่นของดัตช์ ไม่ใช่ฝีมือการประหัตประหาร แต่เป็นฝีปากคารมคมคาย ล้วงลึกจิตใจคนฟัง ป้อยอคำหวาน พูดเรื่องผิดให้เป็นถูก เจือจางเส้นศีลธรรม สร้างความชอบธรรมให้แก่แก๊งของตน แต่สำหรับอาเธอร์ เรื่องเหล่านั้นไม่เคยทำให้เขาลำบากใจ
อาเธอร์มองว่าดัตช์และโฮเซ่ทำไปเพื่อความอยู่รอดของแก๊ง แม้ทั้งคู่จะดำรงชีพบนความทุจริต แต่ทั้งสองคนที่เก็บอาเธอร์มาเลี้ยง ก็เพียรสอนให้อาเธอร์อ่านออกเขียนได้ สอนวิธีการใช้ปืน การล่าสัตว์ ยันเรื่องเล็กๆน้อยๆในชีวิตประจำวัน เลี้ยงดูเขาและเด็กหนุ่มคนอื่นๆในแก๊งเหมือนลูก เหมือนน้องชายแท้ๆ
นั่นคือต้นเหตุของความภักดีของอาเธอร์ นับจากวันที่เขาพบกับดัตช์ ผ่านมา 20 ปีจนเขาเป็นผู้ใหญ่ แก๊งนี้คือครอบครัวของเขา คือตัวตนของเขา ในยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลง วิถีชีวิตยุคก่อนเก่ากำลังจะถูกลบเลือน คนอย่างอาเธอร์ได้แต่หวาดกลัวอนาคต แต่แก๊งของดัตช์มอบจุดยืนให้กับเขา มอบอุดมการณ์ที่เขายึดมั่นได้อย่างภูมิใจ
ไม่เพียงอาเธอร์ แต่ทัศนคติของดัตช์ยังแทรกซึมไปถึงคนอื่นในแก๊งด้วย จนสุดท้ายมันก็กลายเป็นความเชื่อที่รวมพวกเขาให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หากจะเรียกว่าโจร พวกเขาก็เชื่อว่าตนเป็นโจรมีอุดมการณ์ ยามปล้นคนรวยสำเร็จเขาก็แบ่งปันให้กับคนยากจน พวกเขาจะไม่ฆ่าคนพร่ำเพรื่อ จะไม่ล้างแค้นเพียงเพื่อสะใจ และจะไม่ยอมละทิ้งอิสรภาพของตนเพื่อความถูกต้องที่สังคมวางแบบแผนขึ้นมา
แต่การทำเรื่องเลวร้าย ด้วยอุดมการณ์ที่ดี ทำให้การกระทำนั้นถูกต้องแล้วหรือ?
จุดยืนที่เลือกแล้ว
‘The many miles we walked. The many things we learned
เส้นทางยาวไกลที่เราก้าวเดิน บทเรียนมากมายที่เราเรียนรู้
The building of a shrine Only just to burn
สิ่งที่เราก่อสร้างเชิดชู ต้องสลายกลายเป็นเถ้า
That’s the way it is
ชีวิตก็เป็นแบบนี้’
-เพลงประกอบ Red Dead Redemption 2
‘That’s The Way It Is’
ในบรรดาเด็กหนุ่มที่เขาเลี้ยงดูมา ดัตช์ไว้ใจอาเธอร์มากที่สุด เขารู้ว่าอาเธอร์จะทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อประคับประคองให้เหล่าแวนเดอร์ลินด์อยู่รอดปลอดภัย และถือเอาประโยชน์ของแก๊งเป็นเรื่องสำคัญกว่าความสุขของตัวเอง เพราะเขาเลี้ยงอาเธอร์มาให้เป็นแบบนั้น
มีโอกาสหลายครั้งที่อาเธอร์สามารถทอดทิ้งแก๊งแวนเดอร์ลินด์ไปได้ ตอนอายุยังน้อย เขาเคยผูกพันกับแมรี่ ผู้หญิงคนเดียวที่เขารักจริงถึงขั้นหมั้นหมาย แมรี่เป็นคนสวย ฉลาดและอ่อนโยน รู้จักตัวตนที่แท้จริงของอาเธอร์ดีกว่าใครๆ เธอรู้ว่าลึกๆแล้วอาเธอร์เคยมีจิตใจที่ดีงาม แต่เมื่ออาเธอร์ไม่อาจตัดใจทิ้งวีถีชีวิตคนนอกกฏหมายแม้แมรี่จะขอร้อง สุดท้ายแมรี่ก็จากไป
อาเธอร์มีสัมพันธ์กับผู้หญิงอีกหลายคนหลังจากนั้นแต่เขาไม่เคยรักใครเหมือนแมรี่ แม้จะทำให้สาวเสิร์ฟในบาร์คนหนึ่งตั้งท้องลูกของตัวเอง แต่อาเธอร์ที่สาละวนดูแลแก๊งของตนก็ไม่ได้ใช้เวลากับลูกเมียเท่าไหร่ หลายๆเดือนเขาก็จะไปหาบ้าง ส่งเงินไปให้บ้างเมื่อนึกออก…แต่แล้ววันหนึ่งเมื่อแวะไปหา เขาก็เจอเพียงไม้กางเขนปักอยู่หน้าบ้านลูกน้อย
‘โดนยิงตายทั้งคู่เลย โจรมันเข้ามาปล้นแล้วก็ฆ่าทิ้ง’
‘ด้วยเงินแค่สิบเหรียญ’
‘เด็กคนนั้น…ชื่อไอแซค’
‘เป็นเด็กดีมาก…’
ด้วยเรื่องนี้เอง ทำให้จิตใจเขาด้านชาจากความเศร้า ความสูญเสีย ที่ไม่มีใครให้รับฟัง ไม่มีใครเห็นอกเห็นใจ ชีวิตของลูกเมียที่ตายไปเพราะเศษเงิน ถ้าเขาใส่ใจมากกว่านี้ผลลัพธ์คงเปลี่ยนไป แต่นี่ก็เป็นทางที่เขาเลือกแล้ว แก๊งนี้จึงเป็นสิ่งเดียวที่เขาจะยึดเหนี่ยวเอาไว้ได้…เรื่องนี้เท่านั้นที่เขาจะไม่ปล่อยให้มันสูญสลายไปอีก
อาเธอร์ที่ยังหนุ่มแน่นทุ่มเทให้กับแก๊งด้วยความภักดี ดัตช์ที่มีทั้งอุดมการณ์และลูกมือที่เชื่อใจได้ก็เป็นดั่งเสือติดปีก บวกกับอีกหนึ่งคนที่เป็นแกนหลักของแก๊งคือ โฮเซ่ ในบางครั้งที่ดัตช์หลงใหลไปกับอุดมการณ์ วาดฝันอันยิ่งใหญ่ โฮเซ่มักคอยเตือนให้ดัตช์อยู่กับความเป็นจริง คอยปรับแก้แผนการของแก๊งอย่างสุขุม เพื่อความปลอดภัย หลีกหนีสายตาและเงื้อมมือกฏหมาย
อาเธอร์เป็นเหมือนแขนขา ในขณะที่โฮเซ่คือสมองซีกเหตุและผล เหล่าแวนเดอร์ลินด์จึงเอาตัวรอดอย่างสงบสุขได้เรื่อยมา
จนพวกเขาได้สมาชิกคนใหม่ล่าสุด…’ไมคาห์ เบล’ (Micah Bell)
ไมคาห์เป็นโจรมืออาชีพ รวมหัวกับพ่อตัวเองปล้นฆ่าชาวบ้านมาตั้งแต่อายุแค่ 16 และฉายเดี่ยวมาอีกร่วมยี่สิบปีจนได้พบกับดัตช์ ไมคาห์ช่วยดัตช์ไว้ในบาร์เหล้าทำให้ดัตช์ถูกใจและชักชวนเขาเข้ากลุ่ม แม้จะเข้าร่วมกับแก๊งแวนเดอร์ลินด์มาได้ครึ่งปี และพึ่งพาได้ในงานปล้นฆ่า แต่เขาไม่ได้มองคนในแก๊งเป็นครอบครัวแม้แต่น้อย ไมคาห์แสดงออกชัดเจนว่าไม่ควรเหนื่อยแรงดูแลผู้หญิงและเด็กในแก๊ง
แม้จะอายุไล่เลี่ยกัน แต่อาเธอร์ไม่ถูกจริตกับไมคาห์เลยสักนิดเดียวไม่ว่าดัตช์จะพยายามชักจูงอย่างไรก็ตาม อาเธอร์ไม่ไว้ใจคนๆนี้ คนที่เห็นประโยชน์ของตัวเองเป็นที่ตั้ง ตัดสินใจมุทะลุ เพียงแค่เพื่อนในแก๊งพูดจาไม่ถูกหูก็พร้อมจะชกต่อยทันที และยังโหดเหี้ยมไม่เคยเห็นใจชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ แค่เพราะเรื่องเล็กน้อยก็ฆ่าคนทั้งหมู่บ้านได้แบบไม่รู้สึกรู้สา
ไม่ต่างอะไรกับโจรไร้อุดมการณ์ที่พวกเขาดูแคลน อาเธอร์เตือนดัตช์ครั้งแล้วครั้งเล่าว่าไมคาห์จะนำความวุ่นวายมาให้…เขาหารู้ไม่ว่าอันตรายที่ไมคาห์จะนำพามา ไม่ใช่แค่การทะเลาะเบาะแว้งเล็กน้อย แต่เป็นการเปลี่ยนแปรดัตช์ที่อาเธอร์ภักดีด้วยที่สุด ให้กลายเป็นคนใหม่ กลายเป็นคนที่เขาแทบไม่รู้จักอีกต่อไป…
บททดสอบศรัทธา
‘As I wander through the pines, the whisperings, they tell
ข้าท่องไปในป่าสน ได้ยินเสียงคนพร่ำรำพัน
Of the many before me who tried and fell
เรื่องผู้คนที่พยายามแล้วแต่ต้องผิดหวัง’
-เพลงประกอบ Red Dead Redemption 2
‘Cruel World’ โดย Josh Homme
เข้าปีคริสต์ศักราช 1899 ทางการเริ่มกวดขันบ้านเมืองให้มีขื่อมีแป เหล่าร้ายในแดนเถื่อนถูกจับกุมยิงเป้าไม่เว้นแต่ละวัน กระนั้นไมคาห์และดัตช์ก็ยังคิดการใหญ่ วางแผนปล้นเรือกิจการของเศรษฐีที่เมืองแบลควอเตอร์ ในขณะที่อาเธอร์และโฮเซ่วางแผนต้มตุ๋นที่ช้าแต่ชัวร์
แผนของไมคาห์และดัตช์ล้มเหลวไม่เป็นท่า และเลยเถิดกลายเป็นการยิงต่อสู้กับเจ้าหน้าที่หลายสิบนาย คนในแก๊งบางคนถูกยิงอาการสาหัส บางคนถูกจับหรือพลัดหายไปในช่วงเวลาชุลมุน ทั้งแก๊งต้องทิ้งสมบัติทั้งหมดไว้ที่แบลควอเตอร์ และรีบขึ้นเหนือหนีทั้งกองทัพตำรวจ นักสืบเอกชน และนักล่าค่าหัว โฮเซ่และอาเธอร์รีบตามมาสมทบ และพาทุกคนมุ่งหน้าไปยังรัฐอัมบาริโน่ เทือกเขาขาวโพลนที่รกร้างหนาวเย็น และตั้งค่ายพักชั่วคราว
ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย กำลังใจชาวแก๊งดิ่งลงต่ำ พายุหิมะยิ่งประโคมให้ขวัญหนีดีฝ่อ อาเธอร์ต้องช่วยดัตช์ฟื้นฟูความเป็นอยู่ของชาวคณะโดยเร็วแม้จะเจออุปสรรคมากมายรออยู่ งานแรกคือการหาเสบียง เขา ไมคาห์ และดัตช์มุ่งหน้าไปตามหาชุมชนบนเทือกเขาเพื่อขอแบ่งอาหารมาบ้าง แต่ก็ต้องพบกับสมาชิกแก๊งโอดริสคอล (O’Driscoll) แก๊งคู่อริของดัตช์ พวกมันฆ่าเจ้าของฟาร์มในพื้นที่และยึดบ้านเป็นทำเลหลบพายุ หลังจัดการกับแก๊งโอดริสคอลกลุ่มนั้นแล้ว พวกเขาก็ได้เจอกับ ‘ซาดี้ แอดเลอร์’ (Sadie Adler) ที่หลบอยู่ในบริเวณบ้าน เธอคือภรรยาของเจ้าของฟาร์ม อาเธอร์และดัตช์พาเธอกลับไปดูแลที่ค่ายพัก และรับเธอเป็นสมาชิกใหม่ ซาดี้ที่เศร้าโศกกับการตายของสามีก็ตั้งมั่นว่าจะล้างแค้นพวกแก๊งโอดริสคอลให้ได้
จากนั้นอาเธอร์และฮาเวียร์ (Javier Escuella) เพื่อนแก๊งชาวเม็กซิโก ก็ตามรอยไปช่วยเหลือ ‘จอห์น มาร์สตัน’ (John Marston) ที่พลัดหายไป ทั้งคู่ตามไปเจอจอห์นที่ได้รับจากเจ็บจากฝูงหมาป่า และช่วยเหลือจอห์นกลับแก๊งมาได้สำเร็จ
- คนที่เคยเล่นภาคแรกมาก็จะจำจอห์นได้ดี เพราะเขาคือตัวเอกจากภาคแรก จอห์นเป็นรุ่นน้องของอาเธอร์ที่แต่แรกไม่ค่อยจะถูกกันเท่าไหร่ เพราะจอห์นเคยหนีออกจากแก๊งไปเดินทางคนเดียวถึงหนึ่งปีทั้งที่มีเมียและลูกน้อยคอยอยู่ในแก๊ง อาเธอร์เกลียดคนที่ไม่มีความรับผิดชอบ และเกลียดคนที่ไม่เห็นความสำคัญของแก๊ง ทำให้เขากับจอห์นกระทบกระทั่งกันบ่อยๆ แต่เมื่อจอห์นปรับปรุงนิสัยและเปลี่ยนแปลงเป็นคนที่เป็นห่วงลูกเมีย ความสัมพันธ์ของอาเธอร์กับจอห์นก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อพร้อม ดัตช์ตัดสินใจพาพวกหนุ่มๆในแก๊งไปบุกค่ายพักของพวกโอดริสคอลที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง จนได้เบาะแสการปล้นรถไฟของเศรษฐี คอร์นวอล (Leviticus Cornwall) และยังจับเด็กหนุ่มในแก๊งโอดริสคอลมาได้อีกหนึ่งคน เขาคือ ‘คีแรน ดัฟฟี่’ (Kieran Duffy) แก๊งแวนเดอร์ลินด์ตั้งใจจะใช้คีแรนเป็นแหล่งข้อมูลต่อไป แต่เมื่ออยู่กับแก๊งไปสักพักคีแรนก็กลายมาเป็นสมาชิกคนหนึ่งที่ทุ่มเทช่วยเหลือแก๊ง
พอกำลังใจและสุขภาพของชาวแก๊งเริ่มอยู่ตัว ดัตช์ตั้งมั่นว่า “ขอแค่งานใหญ่อีกงานเดียว แล้วพวกเราจะวางมือ” ขอแค่แผนการสำเร็จได้เงินก้อนใหญ่ครั้งสุดท้าย แล้วพวกเขาจะหนีไปจากประเทศนี้ ละทิ้งความวุ่นวายไว้เบื้องหลัง…
เงินก้อนใหญ่
จึงเป็นจุดเริ่มต้นการระดมเงินก้อนใหญ่ของแก๊งแวนเดอร์ลินด์ ไม่ว่าจะเป็นงานแบบไหนที่ได้เงิน พวกเขาก็ต้องเสี่ยง แม้แต่การปล่อยเงินกู้นอกระบบ หลอกลวงชาวบ้านยากจนให้จ่ายดอกเบี้ยแพงลิบ อาเธอร์ก็ต้องยอมร่วมมือด้วยอย่างไม่ค่อยเต็มใจโดยรับหน้าที่เป็นคนทวงเงิน ยึดได้แม้กระทั่งสมบัติสำคัญทางใจของเหล่าลูกหนี้ กระทืบได้แม้แต่คนป่วยใกล้ตาย
ในตอนนั้นเองอาเธอร์ได้พบกับครอบครัวดอว์นส์ (Downes) มิสเตอร์ดอว์นส์ยืมเงินกู้นอกระบบกับแก๊งแวนเดอร์ลินด์ และล้มป่วยไม่มีปัญญาหามาจ่าย และไม่อาจขอผัดผ่อนไปได้อีก อาเธอร์ตามไปทวงหนี้โดยไม่สนใจว่ามิสเตอร์ดอว์นส์จะป่วยหนัก จนสุดท้ายมิสเตอร์ดอว์นส์ก็ตาย วันที่ไปเก็บยอดสุดท้ายคือวันที่ลูกและเมียมิสเตอร์ดอว์นส์ต้องย้ายออกจากบ้านเพราะเงินหมดตัว แม้จะรู้ตัวว่าทำเรื่องชั่วช้าแต่อาเธอร์ก็ทำงานนี้เพื่อแก๊ง
หลังจากนั้นเขาก็เผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ ‘มิลตัน’ (Milton) และเจ้าหน้าที่ ‘รอสส์’ (Ross) จากบริษัทนักสืบเอกชน ‘พิงเกอร์ตัน’ (Pinkerton) ทั้งสองเสนอให้อาเธอร์วางมือจากแก๊งและช่วยทางการจับกุมดัตช์ แลกกับการลบล้างประวัติความผิดทั้งหมดของอาเธอร์ แต่อาเธอร์ปฏิเสธ และยืนยันว่าเขาจะไม่มีวันทิ้งดัตช์หนีเอาตัวรอด
อาเธอร์ไม่เชื่อนักหรอกว่าแผนการหนีไปต่างประเทศของดัตช์จะสำเร็จเป็นจริงได้ ทั้งการไล่ล่าจากกฏหมาย การรับคนอย่างไมคาห์เข้าแก๊ง การได้เห็นความวุ่นวายที่พวกเขาก่อขึ้น คนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ต้องพลอยได้รับผลกระทบ สิ่งเหล่านี้เริ่มกระเทาะเปลือกความคิดที่ดัตช์ครอบงำสั่งสอนเขาเอาไว้ อาเธอร์เริ่มรู้สึกว่าแท้จริงแล้วพวกเขาก็แค่โจรที่ดิ้นรนอยู่ในยุคสมัยใหม่ อุดมการณ์ต่างๆล้วนเป็นเพียงข้ออ้าง และจากการที่เขาเจอเรื่องร้ายๆมา เขาก็รู้สึกว่ามันสมเหตุสมผลแล้ว คนเลวไม่คู่ควรกับเรื่องดีๆ
แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะไม่มีวันทอดทิ้งดัตช์ เขาจะไม่มีวันทรยศแก๊งแวนเดอร์ลินด์ ไม่ว่ายากลำบากยังไง เขาจะอยู่กับมันไปถึงที่สุด
ความวุ่นวายเริ่มลุกลาม
หลังแผนปล้นรถไฟของเศรษฐีคอร์นวอลเสร็จสิ้นลง ได้พันธบัตรมาจำนวนมาก ดัตช์เริ่มวางแผนการใหม่ เงินจำนวนแค่นี้ยังไม่พอ เขาต้องวางแผนการใหม่อีกครั้ง เพื่อให้ทุกคนได้มีอิสระอย่างที่เขาวาดฝัน ดัตช์เล็งผลไปที่กิจการอื่นๆของคอร์นวอลโดยเจตนา เขารู้ดีว่าคอร์นวอลเป็นผู้มีอิทธิพลสูง มีเส้นสายในกองทัพ ถ้าไปได้สวยพวกเขาจะได้เงินก้อนโตในเวลาอันสั้น แม้โฮเซ่และอาเธอร์จะท้วงติงว่าควรจะค่อยๆหางานที่เสี่ยงน้อยและอดทนเก็บตัว ก็ไม่อาจโน้มน้าวใจดัตช์ได้
ลางสังหรณ์ของโฮเซ่และอาเธอร์เป็นจริง คอร์นวอลไม่ใช่คนรวยไร้พิษสง หากมองเขาเป็นขุมสมบัติ ก็เป็นกับดักที่อันตรายมีเขี้ยวเล็บรอบตัว คอร์นวอลอัดฉีดจ้างเหล่าทัพนักล่าจากบริษัทพิงเกอร์ตัน ประกอบไปด้วยสายสืบและนักล่าค่าหัวอย่างถูกกฏหมาย ไล่ล่าแก๊งแวนเดอร์ลินด์จนพวกเขาต้องถอยหนีครั้งแล้วครั้งเล่า เมืองแล้วเมืองเล่า
หลังจากหลบหนีเจ้าหน้าที่ในวาเลนไทน์ไปยังโร้ดส์ ดัตช์ก็วางแผนใหม่เมื่อได้ผูกมิตรกับนายอำเภอเกรย์ ดัตช์ได้รู้ว่าในเมืองโร้ดส์มีสองตระกูลเศรษฐีใหญ่ที่ขับเคี่ยวกันมานาน คือตระกูลเกรย์ (Grey) และเบรธเวท (Braithwaite) ดัตช์ตั้งใจจะหลอกใช้ทั้งสองตระกูลให้ห้ำหั่นกันเอง
ในขณะเดียวกัน อาเธอร์ได้ผูกมิตรกับเด็กสาวจากเบรธเวทและเด็กหนุ่มจากเกรย์ เด็กทั้งคู่รักกันและต้องการหนีไปจากวังวนความเกลียดชังนี้ เขาช่วยให้ทั้งสองคนได้หนีไปตั้งต้นชีวิตใหม่ที่รัฐอื่น แม้ชีวิตรักของอาเธอร์ไม่สมหวังแต่การได้ช่วยเด็กวัยรุ่นสองคนนี้ให้ได้สร้างครอบครัวที่ดีก็ทำให้เขาสุขใจขึ้นบ้าง และในช่วงนี้ แก๊งโอดริสคอลก็ติดต่อเข้ามาว่า คอล์ม (Colm) หัวหน้าแก๊งโอดริสคอลต้องการขอเจรสงบศึกกับแก๊งแวนเดอร์ลินด์
- ในอดีต ดัตช์และคอล์มเคยร่วมงานกัน แต่แล้วดัตช์ก็มีเรื่องพิพาทกับพี่ชายของคอล์มและสังหารเขาทิ้ง ทำให้คอล์มแก้แค้นด้วยการฆ่าแอนนาเบล ผู้หญิงที่ดัตช์รัก ทำให้ทั้งสองแก๊งเป็นคู่อริกันนับแต่นั้นมา
ปรากฏว่าการนัดเจรจานั้นเป็นกับดักที่มุ่งเป้าไปที่อาเธอร์ ในจุดนัดพบ อาเธอร์ที่ซุ่มปกป้องดัตช์อยู่บนยอดเขาก็ถูกคอล์มจับตัวไปทรมาน คอล์มรู้ว่าอาเธอร์มีประโยชน์กับดัตช์มาก หากจับเขาเป็นตัวประกัน ดัตช์ก็ต้องตามมาช่วยแน่นอน อาเธอร์ที่กลัวว่าแก๊งต้องสูญเสียและเสี่ยงอันตรายหากมาช่วยตนจึงพยายามหลบหนีออกมาจากที่กักขังได้สำเร็จแม้จะบาดเจ็บหนัก และต้องพักฟื้นอยู่หลายสัปดาห์
เมื่ออาเธอร์หายดีแล้ว ดัตช์ก็ดำเนินแผนให้แก๊งทำเป็นเข้าร่วมกับทั้งตระกูลเกรย์กับเบรธเวท และค่อยตลบหลัง ปล้นทั้งสองตระกูล อาเธอร์ต้องร่วมมือกับ ‘ณอน’ (Sean MacGuire) รุ่นน้องในแก๊ง เผาไร่ยาสูบของพวกเกรย์ตามข้อมูลของเบรธเวท และขโมยม้าชั้นดีจากพวกเบรธเวทไปขายตามคำแนะของตระกูลเกรย์ ทว่าไม่นานนัก แก๊งแวนเดอร์ลินด์ก็ถูกรู้ทันและโดนซ้อนแผนอย่างเจ็บปวด
ไมคาห์เรียกอาเธอร์ไปสมทบที่เมืองเพราะพวกเกรย์เรียกพบโดยอ้างว่ามีงานให้ทำเพิ่ม อาเธอร์รู้สึกว่าบรรยากาศเมืองเงียบแบบแปลกๆ แต่ก็ไม่ทันแล้ว พวกเกรย์พร้อมอาวุธครบมือโผล่ออกมาจากที่ซุ่มและโจมตีพวกเขาทันที
‘ไอ้โจรบ้านนอกอย่างพวกแก แค่เหยียบตีนมาในเมืองนี้ ข้าก็รู้แผนมึงหมดไส้หมดพุงแล้วโว้ย’
ณอนถูกฆ่าตายแบบไม่ทันตั้งตัว หลังจากที่ระดมยิงสู้จนเอาตัวรอดมาได้ อาเธอร์เกรี้ยวกราดที่ไมคาห์ประมาท ไม่สำรวจสถานที่ให้ดี แต่ไมคาห์ไม่ยินดียินร้ายกับการตายของณอน ก็ซวยเองช่วยไม่ได้
อาเธอร์ให้บิล (Bill Williamson) รุ่นน้องอีกคน นำร่างของณอนไปฝังในที่เงียบๆ ถึงณอนจะพูดมาก ปากพล่อย ชอบแหย่เขาให้ขำด้วยมุกฝืดๆ แต่เขาก็รักเหมือนน้องชาย…
พอกลับมาที่ค่ายพัก ก็ต้องเจอข่าวร้ายซ้ำอีกว่า ‘แจ็ค’ (Jack) ลูกน้อยของจอห์นถูกพวกเบรธเวทลักพาตัวไปเรียกค่าไถ่ ดัตช์ทั้งโกรธแค้นที่แผนล้มเหลวและเจ็บใจที่โดนหยามหมิ่น เขารวบรวมคนในแก๊งไปบุกทลายคฤหาสน์ของพวกเบรธเวทเพื่อเอาตัวแจ็คน้อยคืนมา แต่ปรากฏว่าแจ็คถูกขายและส่งต่อไปให้ ‘แองเจโล่ บรอนเต้’ (Angelo Bronte) เศรษฐีที่เมืองใหญ่เซนต์เดนิส หลังจากฆ่าล้างตระกูลเบรธเวทและเผาคฤหาสน์จนราบคาบแล้ว เหล่าแวนเดอร์ลินด์ก็มุ่งหน้าไปตามตัวแจ็คคืน ก่อนที่จะย้ายค่ายพักพวกเขาได้เผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่มิลตัน ผู้เตือนให้ดัตช์ยอมมอบตัวเสีย เพื่อที่ชาวแก๊งคนอื่นจะได้ไม่เดือดร้อน แต่เมื่อทุกคนไม่ให้ความร่วมมือและออกตัวปกป้องดัตช์ มิลตันก็เตือนว่านี่จะเป็นโอกาสสุดท้าย ครั้งหน้าที่เจอกันเขาจะไม่ประนีประนอมอีกต่อไป
ตัวตนที่แท้จริง
‘Seeking fortune and ways, To get to glory days
หาช่องทางเพื่อร่ำรวย หาวันฉลองที่สดสวย
Looking for a place in this old world
หาที่ที่ใช่ สักที่ในโลกเก่าใบนี้’
-เพลงประกอบ Red Dead Redemption 2
‘Cruel World’ โดย Josh Homme
ทันทีที่เข้าเขตเมืองเซนต์เดนิส อาเธอร์ก็ต้องถอนใจ เขาเกลียดวัฒนธรรม เกลียดความเจริญ เกลียดสังคมทุนนิยม ในเมืองใหญ่แบบนี้มีผู้คนหลากหน้าหลายตาไม่อาจไว้ใจใครได้ เขาอยากเอาตัวแจ็คน้อยกลับคืนมาให้ไวที่สุดและไปพ้นๆจากเมืองนี้โดยไม่ต้องดึงดูดความสนใจใครทั้งสิ้น
แต่เมื่อได้พบกับแองเจโล่บรอนเต้ ได้ตัวแจ็คกลับคืนมา ดัตช์ก็มีแผนใหม่ขึ้นมาอีก บรอนเต้เป็นเศรษฐีชาวอิตาลีที่ร่ำรวยจากความไม่โปร่งใส บรอนเต้แสดงทีท่าว่าถูกใจดัตช์และพร้อมจะแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กันหากแก๊งของดัตช์ยอมทำงานสกปรกแลกเปลี่ยน การได้รู้จักกับบรอนเต้ทำให้แก๊งได้ข้อมูลการปล้นเรือสำราญ เมื่อสำเร็จและได้เงินมาก้อนหนึ่ง ก็ยิ่งยั่วยุให้ดัตช์เห็นโอกาสในการใช้ข้อมูลจากบรอนเต้
ในช่วงนี้เองที่อาเธอร์ได้รู้จักกับชาวอินเดียนแดง ‘เรนส์ฟอล’ (Rains Fall) กับ ‘อีเกิ้ลฟลายส์’ (Eagle Flies) หัวหน้าเผ่าวาปิติ (Wapiti) และลูกชายที่ต่อสู้เพื่อยึดถือสิทธิ์การครองแผ่นดินจากการรุกล้ำของชาวอเมริกา เรนส์ฟอลผู้เป็นพ่อ ต้องการตอบโต้ด้วยวิถีสงบ ผ่านทางการเจรจา แต่อีเกิ้ลฟลายส์ที่ยังเป็นเด็กหนุ่มมีแนวคิดที่ต่างไป เขาคิดว่าในที่สุดแล้วคงไม่อาจใช้การเจรจากับชาวอเมริกันได้ และต้องจบลงที่ความรุนแรง
สาเหตุที่รัฐบาลต้องการให้พวกชนพื้นเมืองเปลี่ยนถิ่นฐานก็เพราะว่าที่ดินบริเวณนี้เป็นแหล่งขุดเจาะน้ำมันชั้นดี ซึ่งบริษัทที่ได้สัมปทานก็คือบริษัทของคอร์นวอลผู้ร่ำรวยที่มีเส้นสายทางการเมืองนั่นเอง
อาเธอร์รับจ้างลอบเร้นเข้าไปในโรงกลั่นน้ำมันของคอร์นวอลเพื่อขโมยเอกสารการทางการเมืองให้เรนส์ฟอล เป็นเอกสารระบุรายละเอียดการวางแผนโยกย้ายที่อยู่ของชาวพื้นเมืองโดยรัฐบาล เรนส์ฟอลและอีเกิ้ลฟลายส์หวังว่าเอกสารชิ้นนี้จะเป็นหลักฐานที่ใช้ในการเพิ่มน้ำหนักฝ่ายตนเองได้ ถ้าสุดท้ายไม่ได้ผล อีเกิ้ลฟลายส์ก็จะระดมพลชาวพื้นเมืองมาร่วมสู้รบกับรัฐบาลเพื่อศักดิ์ศรีของเผ่าตนแม้พ่อจะคัดค้าน อีเกิ้ลฟลายส์ขอบคุณอาเธอร์ที่ช่วยเหลือ และจากไป
เมื่อกลับมาถึงแก๊ง ซาดี้ก็เข้ามาปรึกษากับอาเธอร์ว่าคีแรนหายตัวไปได้สักพักแล้ว ยังไม่ทันจะออกตามหา แก๊งโอดริสคอลก็ส่งศพของคีแรนที่ถูกทรมานในสภาพยับเยินกลับมาบนหลังม้า และบุกเข้ามาโจมตีค่ายพักในขณะที่ทุกคนตกใจ ซาดี้ที่แค้นพวกโอดริสคอลมานานแล้วต่อสู้อย่างบ้าระห่ำ หลังยิงตอบโต้จนได้รับชัยชนะ โฮเซ่ก็นำศพคีแรนไปฝัง อาเธอร์สะเทือนใจที่คีแรนต้องตายแบบทรมานทั้งที่คีแรนเคยช่วยชีวิตเขาไว้ตอนที่ไปบุกที่พักย่อยของโอดริสคอล แต่เขายังไม่เคยทำอะไรดีๆให้คีแรนเลย สมาชิกแก๊งต้องตายไปอีกคนแล้ว…
หลังจากนั้น ดัตช์ก็ได้ข้อมูลใหม่บรอนเต้ ที่พูดถึงเงินจำนวนมหาศาลในสถานีรถราง ดัตช์พาอาเธอร์และ ‘เลนนี่’ (Lenny) มุ่งไปยังสถานีในเมืองเซนต์เดนิส อาเธอร์สังหรณ์ใจไม่ดี แต่ดัตช์เชื่อในข้อมูลของเขาเต็มที่พร้อมตำหนิให้อาเธอร์เลิกสงสัยในตัวเขาเสียที
แต่แล้วในสถานีกลับมีแค่เศษเงินเล็กน้อย มันเป็นกลลวงของบรอนเต้ที่จะเลิกใช้ประโยชน์จากแก๊งของดัตช์แล้ว และต้องการให้ถูกตำรวจจับพ้นๆไป ดัตช์ อาเธอร์ และ เลนนี่ หนีออกมาอย่างยากลำบาก ระหว่างทางดัตช์โดนกระแทกอย่างแรงที่ศีรษะ ทั้งเจ็บกายและเจ็บใจ เมื่อหายดีแล้วดัตช์ทุ่มเถียงแผนการใหม่กับโฮเซ่ แผนการปล้นครั้งใหญ่ที่หวังให้เป็นงานสุดท้ายของแก๊ง พวกเขาจะปล้นธนาคารกลางเมืองเซนต์เดนิส แต่ก่อนจะเริ่มแผน ดัตช์ต้องการกำจัดบรอนเต้ก่อน
เขาเชื่อว่าเมื่อไม่มีบรอนเต้ที่เป็นแหล่งเงินทุนของเมืองได้ การป้องกันและความเป็นระเบียบในเมืองจะหละหลวมลง แต่โฮเซ่ไม่เห็นด้วย พวกเขาดึงดูดความสนใจมากไปแล้ว แผนแล้วแผนเล่าของดัตช์มีแต่ความล้มเหลว มันถึงเวลาที่พวกเขาต้องหาแนวทางอื่นเสียที แนวทางที่ปลอดภัยกว่านี้
แต่สุดท้ายดัตช์ก็ยังดึงดัน และหาหนทางลอบเข้าไปยังคฤหาสน์ของบรอนเต้พร้อมพรรคพวกจนได้ พวกเขาลักพาตัวบรอนเต้ออกมาทางเรือลำเล็ก และคิดจะหาทางเรียกค่าไถ่ตัวบรอนเต้ แต่แล้วดัตช์กลับฟิวส์ขาดเมื่อถูกบรอนเต้เหยียดหยาม
‘แกมันไอ้โจรไร้ค่า สิ่งที่แกทำมันไร้ค่า สิ่งที่แกอ้างมันก็ไร้ค่า!
เมื่อไหร่ที่กฏหมายเอื้อมถึงแก แกก็จะตายอย่างไร้ค่า ไม่มีใครจดจำ’
ดัตช์จับบรอนเต้กดน้ำจนตายและโยนให้จระเข้ในบึงกิน ท่ามกลางความตื่นตะลึงของชาวแก๊ง จอห์นท้วงว่านี่มันหลักการส่วนไหนของดัตช์กัน แต่ดัตช์อ้างว่าถ้ามันรอด เราก็ไม่รอด ทิ้งให้อาเธอร์และจอห์นเริ่มตั้งคำถามในใจ ว่าดัตช์กลายเป็นคนโหดร้ายมากขึ้นเรื่อยๆตั้งแต่เมื่อไหร่
แผนการครั้งสุดท้าย…?
และแล้ววันปล้นธนาคารก็มาถึง ดัตช์ปลุกใจให้ทุกคนไม่ลืมว่านี่จะเป็นงานใหญ่งานสุดท้ายเมื่อสำเร็จ เมื่อได้เงินก้อนใหญ่ก้อนนี้แล้วพวกเขาจะเป็นอิสระ เขานัดแนะแผนการซ้ำอีกครั้ง โฮเซ่และ ‘อบิเกล’ (Abigail) เมียของจอห์น จะมุ่งหน้าไปยังเขตชุมชนเพื่อระเบิดก่อกวนดึงความสนใจ แล้วฝั่งดัตช์ ที่มีอาเธอร์ จอห์น ไมคาห์ บิล ฮาเวียร์ เลนนี่ จะบุกเข้าไปปล้นธนาคารพร้อมๆกัน ส่วนผู้หญิงที่เหลือให้รอคอยความสำเร็จอยู่ที่ค่ายพัก
แผนการดูจะเป็นไปด้วยดี แต่ในขณะที่กำลังรีบโกยเงินใส่ถุง เจ้าหน้าที่จากพิงเกอร์ตันก็บุกมาล้อมธนาคารเอาไว้ ที่น่าตกใจกว่านั้นคือโฮเซ่ถูกจับมาเป็นตัวประกันด้วย เจ้าหน้าที่มิลตันกดดันให้ดัตช์มอบตัว
‘คุณมิลตัน ปล่อยเพื่อนข้าไปซะ ไม่งั้นคนงานพวกนี้โดนยิงแน่’
ดัตช์พยายามเจรจาโดยขู่ว่าจะฆ่าตัวประกันในธนาคาร แต่มิลตันไม่สนใจ
‘พอเถอะ ดัตช์ ข้าให้โอกาสแกมามากพอแล้ว ไม่มีการต่อรองอะไรทั้งนั้น’
มิลตันยิงโฮเซ่ตายต่อหน้าดัตช์และอาเธอร์ในทันที ท่ามกลางความโกรธแค้นเจ็บปวด อาเธอร์และชาวแก๊งต้องยิงต่อสู้เพื่อหลบหนีออกจากเมือง แต่แล้วจอห์นก็ถูกตำรวจจับกุมได้ และเลนนี่ก็พลาดท่าถูกยิงเสียชีวิตไป…ไม่มีเวลาจะให้อาเธอร์ได้เสียใจ ทั้งหมดต้องระเห็จไปยังท่าเรือ โดยมี ‘ชาร์ลส์’ (Charles) รุ่นน้องในแก๊งที่ยอมเสียสละล่อตำรวจไปทางอื่นเพื่อเปิดโอกาสให้ทุกคนหนี
เคราะห์ซ้ำกรรมซัด บนเรือที่พวกเขาหนีขึ้นไปต้องเจอกับพายุและอับปางลงใกล้เกาะกัวร์ม่า (Guarma) ในเขตคิวบา แต่ทุกคนก็รอดมาได้ แม้ฮาเวียร์จะถูกเจ้าหน้าที่รัฐบนเกาะจับไป ในช่วงเวลาสั้นๆนี้ ดัตช์ตกลงช่วยเหลือเฮอร์คูล (Hercule Fontaine) ผู้นำกลุ่มทหารกบฏบนเกาะ เพื่อแลกเปลี่ยนกับการช่วยเหลือฮาเวียร์และการเดินทางกลับมายังฝั่งอเมริกา หลังช่วยฝ่ายกบฏสำเร็จ อาเธอร์และพรรคพวกก็ขึ้นเรือมุ่งหน้ากลับฝั่งอเมริกาทันที