เกม ‘Resident Evil’ มันสนุกขนาดนั้นเลยหรอ ? คำถามสั้น ๆ ที่หลายคนมักจะถูกถามเมื่อเห็นพวกเขาเหล่านั้นแสดงความดีใจออกไปตามสื่อต่าง ๆ เมื่อทราบข่าวเกม ‘Resident Evil’ ภาคใหม่หรือมีข้อมูลใหม่ ๆ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับเกมนี้ออกมา นี่ยังไม่นับข้อมูลเสริมแยกย่อยที่แฟน ๆ เกมนี้สามารถเอามาพูดถึงได้แบบไม่รู้จักหมด ซึ่งคำตอบที่เราจะได้จากแฟน ๆ เกมนี้นั้นมีมากมาย จนเราสามารถพูดได้เลยว่าถ้าคุณไปถามแฟนเกมนี้ 10 คนคุณก็จะได้ความชอบและไม่ชอบทั้ง 10 แบบที่ไม่ซ้ำกัน
เพราะเกมซีรีส์นี้แม้จะขึ้นชื่อว่า ‘Resident Evil’ แต่ตัวของเกมนั้นกลับมีอยู่หลายแบบหลายแนว เราจึงจะได้เห็นคนที่ชอบภาคดั้งเดิมแบบ 1 ถึง 3 แบบเก่า หรือแฟน ๆ ที่ชอบเฉพาะภาคที่มีแอ็กชันอย่างภาค 4 ถึง 6 ไปจนถึงคนที่ชอบมุมมองบุคคลที่ 1 แบบภาค 7 และ Village นี่ยังไม่นับความชอบแบบสยองขวัญชอบแบบแอ็กชันมากกว่าอีก เรียกว่ามีเยอะมาก ๆ จนเมื่อมาถึงเกมภาคล่าสุดอย่าง ‘Resident Evil Village’ ออกมาก็ทำให้เกิดคำถามจากแฟน ๆ บางส่วนว่า ‘Resident Evil’ ที่ไม่มีซอมบี้แต่มีผีดูดเลือดมนุษย์หมาป่ามันยังเป็น ‘Resident Evil’ อยู่รึเปล่า วันนี้เรามาหาคำตอบในเรื่องนี้กัน จากใจแฟน ‘Resident Evil’ ถึงแฟน ‘Resident Evil’
มาทำความรู้จักเกม Resident Evil
ก่อนจะเข้าประเด็นเรามาทำความรู้จักเกม ‘Resident Evil’ กันก่อนเพื่อให้หลายคนที่ไม่รู้จักหรือคนที่ลืมไปแล้วจะได้มาทบทวนความจำกัน เริ่มจากชื่อ ‘Resident Evil’ นั้นคือชื่อในฉบับภาษาอังกฤษ ขณะที่ประเทศญี่ปุ่นนั้นจะใช้ชื่อว่า ‘BioHazard’ เป็นเกมแนว ‘Survival Horror’ สยองขวัญเอาชีวิตรอดที่วางจำหน่ายบนเครื่อง ‘PlayStation’ ในปี 1996
โดยในครั้งแรกสุดนั้นเกมนี้ถูกโทคุโระ ฟูจิวาระ (Tokuro Fujiwara) หมายมั่นจะสร้างให้เป็นการ Remake เกมสยองขวัญในตำนานที่เคยลงบนเครื่อง ‘Famicom’ อย่างเกม ‘Sweet Home’ (1989) โดยมีชินจิ มิคามิ (Shinji Mikami) เป็นหนึ่งในทีมออกแบบเกม แต่เมื่อพัฒนาไปทางชินจิจึงคิดอยากจะเปลี่ยนเนื้อหาแนวเกมจากการ Remake ให้เปลี่ยนมาเป็นเกมสยองขวัญหัวใหม่ไปเลยดีกว่า เกม ‘BioHazard’ จึงเกิดขึ้นมา โดยได้แรงบันดาลใจมาจากหนังซอมบี้ระดับตำนานของจอร์จ เอ. โรเมโร (George A. Romero) บวกกับมุมกล้องตายตัวของเกม ‘Alone in the Dark’ เมื่อผสมรวมกันจึงออกมาเป็นเกมนี้ หลังจากที่ ‘BioHazard’ วางจำหน่ายก็สร้างกระแสซอมบี้ขึ้นมาทั้งบนโลกของภาพยนตร์และวิดีโอเกมขึ้นมาอย่างมากมาย จนหลายคนต่างติดภาพไปแล้วว่า ‘BioHazard’ หรือ ‘Resident Evil’ ต้องมีซอมบี้ ต่างกับภาคหลัง ๆ ที่ตัวเกมชักเริ่มออกห่างจากสิ่งนี้ออกไป จนทำให้หลายคนเกิดข้อสงสัยว่าสิ่งที่ ‘Resident Evil’ เป็นตอนนี้มาถูกทางหรือกำลังหลงทิศเราจะมาพูดกันกันในวันนี้
Resident Evil ที่ไม่มีซอมบี้ก็เหมือนไม่ใช่ Resident Evil จริงหรือ
ต่อเนื่องจากหัวข้อที่แล้วที่เราทิ้งท้ายเอาไว้ว่าภาพจำของเกม ‘Resident Evil’ คือซอมบี้ ซึ่งถ้านับกันจริง ๆ ทั้งภาคหลักภาคแยกภาคเสริมของซีรีส์เกม ‘Resident Evil’ ที่มีซอมบี้และไม่มีซอมบี้เรียกว่าครึ่งต่อครึ่งเลยทีเดียว (โดยประมาณ) โดยเกมที่เริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงของ ‘Resident Evil’ ที่ไม่จำเป็นต้องมีซอมบี้ก็คือภาคที่ 4 ที่ตัวเกมเปลี่ยนจากการยิงซอมบี้มาเป็นชาวบ้านที่มีความคิดใช้อาวุธและสื่อสารกันได้
ซึ่งในสมัยที่เกมภาคนี้ออกก็มีการพูดถึงเรื่องนี้อยู่ แต่ด้วยความสนุกของตัวเกมบวกกับความแปลกใหม่ที่เปลี่ยนแนวทาง ‘Resident Evil’ จึงทำให้หลายคนมองข้ามเรื่องนั้นไป จนมาถึง ‘Resident Evil 5’ ที่ก็ยึดแนวทางเดิม มาจนรวมถึงภาคแยกย่อยอื่น ๆ ของซีรีส์ก็เริ่มจะทิ้งซอมบี้ไปเป็นสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ อย่างพวก ‘Ooze’ ที่เกิดจากไวรัส T-Abyss ในภาค ‘Revelations 1’ ที่ก็ไม่ใช่ซอมบี้แต่กลับไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้
แต่ทำไมหลายคนเพิ่งจะมาพูดถึงแค่ ‘Resident Evil Village’ นั่นก็เพราะแนวเกมที่เปลี่ยนไปจากเดิมมากเกินไป เพราะในภาคนี้เราจะได้เห็นมนุษย์หมาป่าผีดิบดูดเลือดที่เป็นตำนานในนิทานที่ไม่น่าเอามารวมกับ ‘Resident Evil’ หรือรวมก็ได้แต่มันก็ดูแปลก ๆ จนหลายคนเริ่มคิดว่ามันไม่ใช่ ‘Resident Evil’ ที่เขารู้จัก จนพาลคิดไปว่า ‘Resident Evil’ กำลังหลงทางออกทะเล ขณะที่อีกฝ่ายที่เห็นตรงข้ามกลับคิดว่านี่คือแนวทางที่ ‘Resident Evil’ ควรเดินไป
Resident Evil หมายถึงอาวุธชีวภาพที่ไม่จำเป็นต้องหมายถึงซอมบี้อย่างเดียว
คราวนี้มามองอีกมุมของแฟนเกม ‘Resident Evil’ ที่มองตรงข้ามกับหัวข้อที่ผ่านมา เพราะแฟนกลุ่มนี้จะมองว่าหัวใจหลักของเกม ‘Resident Evil’ นั้นคือ ‘Survival Horror’ หรือการเอาชีวิตรอดทุกอย่างที่เกี่ยวกับชีวภาพซึ่งไม่ใช่แค่ซอมบี้ แต่จะเป็นอะไรก็ได้ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านถืออาวุธที่ยิงแล้วหัวระเบิดกลายเป็นสัตว์ประหลาดในภาค 4 กับ 5 หรือจะเป็นซอมบี้เชื้อรารูปร่างน่าเกลียดอย่างพวก ‘Moo’ ใน ‘Resident Evil 7’ ก็ถือว่าเป็น ‘Resident Evil’ และยิ่งในภาค ‘Village’ ที่แม้จะดูแฟนตาซีมีสิ่งเหนือธรรมชาติที่ดูแล้วไม่เหมาะกับเกม
แต่แฟน ๆ ฝั่งนี้ก็เชื่อว่าทาง ‘Capcom’ คงจะต้องใส่เหตุผลที่มาที่ไปของสิ่งเหล่านี้ว่ามนุษย์หมาป่าผีดิบดูดเลือดมันมาจากเชื้อไวรัสอย่างแน่นอน ซึ่งสิ่งที่แฟนกลุ่มนี้ต้องการคือความสมจริงน่ากลัวที่กลับมาเป็นเกม ‘Survival Horror’ มากกว่าเกมเดินหน้ายิงเตะต่อยซอมบี้แบบภาคก่อน ๆ ที่จะเป็นอะไรก็ได้แค่บอกเหตุผลก็พอว่าทำไมมันถึงเป็นแบบนั้นแบบนี้ อย่างที่ ‘Resident Evil 7’ ทำสำหรับแฟนกลุ่มนี้ถือว่ารับได้หมด
Resident Evil กับการเปลี่ยนแปลงหลัก ๆ
คราวนี้มาดูเนื้อหาหลักของการเปลี่ยนแปลงในเกม ‘Resident Evil’ เพื่อให้คนที่คิดว่าเกมนี้ไม่มีซอมบี้ก็เหมือนไม่ใช่ ‘Resident Evil’ โดยเริ่มจาก 5 ภาคแรกที่นับตั้งแต่ ‘Resident Evil 0’ ไปจนถึงภาค ‘Code Veronica’ ตัวเกมยังใช้รูปแบบมุมกล้องตายตัว และซอมบี้ที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่ทำให้หลายคนรู้จักเกมนี้
จนมาถึงภาค 4 ถึงภาคที่ 6 ตัวเกมจะเป็นมาเป็นแนวแอ็กชันที่มุมกล้องจะไล่ตามตัวละคร และตั้งแต่ภาค 4 เป็นต้นมาตัวเกมก็ไม่มีซอมบี้แล้ว (ภาค 6 เป็นลูกผสม) ซึ่งในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงนี้หลายคนกลับไม่บ่นกัน (ถึงมีก็น้อย) เพราะทั้งสามภาคนี้ทาง ‘Capcom’ ยังใช้ตัวละครชุดเดิมจากภาคเก่าที่คนเล่นทราบดีว่าพวกเขาเคยผ่านฝูงซอมบี้มาแล้ว พอมาเจออะไรใหม่ ๆ อย่างชาวบ้านเป็นสัตว์ประหลาดจึงดูไม่น่าแปลกใจ หรือหลุดความเป็น ‘Resident Evil’
จนมาถึงภาคปัญหานั่นคือ ภาค 7 และ ‘Village’ ที่เป็นการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมแทบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาที่ดูสมจริงขึ้นดูโหดดิบกับเรื่องราวการหนีตายในบ้านหรือหมู่บ้านธรรมดาที่ไม่ยิ่งใหญ่เมื่อเทียบกับภาคก่อน ๆ แถมตัวละครก็ยังเป็นตัวละครชุดใหม่ไวรัสใหม่ที่ดูต่างออกไป จนทำให้คนเล่นหลายคนไม่คุ้นเคย จึงพาลคิดไปว่าเกม ‘Resident Evil’ ได้เปลี่ยนไป
เพราะเนื้อหาตัวละครระบบการเล่นที่เปลี่ยนไปจึงทำให้แฟน ๆ คิดว่ามันไม่เป็น Resident Evil ที่รู้จัก
เมื่อลองมาหาเหตุผลว่าทำไมแฟน ๆ ที่ได้เห็นตัวอย่างทดลองเล่นเดโม ‘Resident Evil Village’ ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเกมนี้หลุดจากความเป็น ‘Resident Evil’ อย่างที่มันควรเป็น ซึ่งเรื่องนี้เอาจริง ๆ มันก็มีประเด็นมาตั้งแต่ ‘Resident Evil 7’ แล้ว นั่นก็เพราะตัวเกมเปลี่ยนตัวเองจากเกมแอ็กชันลุยแหลกมามาเป็นแนว ‘Survival Horror’ ที่ลดขนาดจากเดิมที่ในภาค 6 นั้นตัวเกมจะพาเราไปยังเมืองใหญ่ ๆ หลายประเทศที่มีการระบาดของเชื้อ C-Virus แต่พอมาในภาคที่ 7 ตัวเกมกลับเปลี่ยนมาเป็นการเอาตัวรอดจากครอบครัวเล็ก ๆ ที่พยายามไล่ฆ่าเรา
พอมาในภาค ‘Village’ ก็เพิ่มขนาดมาเป็นหมู่บ้านขนาดเล็กแทน ที่ดูแล้วไม่ยิ่งใหญ่สมเป็น ‘Resident Evil’ เหมือนที่ผ่านมา อีกหนึ่งสิ่งที่เราต้องหยิบมาขยายจากหัวข้อที่แล้วกับตัวละครในเกมนี้ ที่เปลี่ยนมาเป็นอีธาน วินเทอร์ (Ethan Winters) ชายหนุ่มที่ตลอดเกมทั้งสองภาคที่เขาเป็นพระเอกนั้นเราจะไม่ได้เห็นหน้าเขาเลย จนทำให้คนเล่นเกมรู้สึกว่าเกมนี้ไม่เหมือน ‘Resident Evil’ ที่แฟน ๆ รู้จักเพราะตัวละครในเกมนี้ก็คือจุดเด่นอีกอย่างที่แฟน ๆ จดจำพอ ๆ กับซอมบี้ รวมถึงระบบการเล่นที่เปลี่ยนมาเป็นแนวมุมมองบุคคลที่ 1 ซ้ำไปอีก ด้วยการเปลี่ยนแปลงหลัก ๆ ทั้งสามอย่างนี้จึงไม่น่าแปลกใจที่แฟน ๆ จะบอกว่า ‘Resident Evil’ ไม่ใช่ ‘Resident Evil’ ที่พวกเขารู้จัก
Resident Evil ที่แฟน ๆ รู้จักคืออะไร
แล้วอะไรคือสิ่งที่เรียกว่า ‘Resident Evil’ ที่แฟน ๆ รู้จักที่ไม่ใช่แค่ซอมบี้ คำตอบนี้ก็ง่ายมาก ๆ เพราะถ้าคุณอ่านตั้งแต่ต้นมาคุณจะทราบคำตอบของคำถามนี้ได้ทันที เพราะสิ่งที่แฟนกลุ่มที่บอกว่า ‘Resident Evil’ ไม่ใช่ ‘Resident Evil’ ที่เขารู้จักก็เพราะพวกเขาเหล่านั้นผูกพันกับตัวละครในซีรีส์นี้มากเกินไป โดยเรื่องนี้สามารถยกตัวอย่างง่าย ๆ จากการถามคนเล่นเกมนี้ว่ารู้จักเกม ‘Resident Evil Survivor’, ‘Resident Evil Dead Aim’, ‘Resident Evil Outbreak’, ‘Umbrella Corps’ หรือจะเป็นภาค ‘Resident Evil Operation Raccoon City’ หรือไม่
ซึ่งแน่นอนว่าแฟนเกมที่บอกว่าเกม ‘Resident Evil’ เปลี่ยนไปจะไม่ค่อยรู้จักเกมเหล่านี้กัน (หรือรู้จักแค่บางภาค) เพราะเกมที่เรากล่าวมานั้นจะไม่มีตัวเอกเป็นตัวละครหลักที่คนเหล่านั้นรู้จัก ขณะที่บางคนจำได้แต่เฉพาะภาคหลัก ๆ ก็มี ซึ่งทางทีมพัฒนาก็ทราบเรื่องนี้ในการสร้างภาค 7 เราจึงได้เห็นคริส เรดฟิลด์ (Chris Redfield) ในทั้งสองภาคแถมยังใส่ ‘Blue Umbrella’ และสัญลักษณ์ ‘Umbrella’ ไปลงที่ตรงกลางตราประจำตระกูลทั้ง 4 ในภาค ‘Village’ เพื่อให้แฟน ๆ รู้ว่าเกมนี้ยังคงวนเวียนอยู่กับเชื้อไวรัสอาวุธชีวภาพอยู่ ไม่ได้หลุดจากความเป็น ‘Resident Evil’ แต่อย่างใด แต่ด้วยหลาย ๆ เหตุผลที่กล่าวมามันกลับไม่ช่วยให้แฟน ๆ ยอมรับไปเสียอย่างนั้น
Capcom ที่เคยหลงทางก็พยายามกลับมาสู่เส้นทางของตนเองอย่างที่ควรเป็น
เมื่อพูดถึงตัวละครที่เป็นหัวใจหลักของซีรีส์อย่างที่เรากล่าวไปในหัวข้อที่แล้ว ทาง ‘Capcom’ เองก็เคยคิดแบบนั้นว่า ‘Resident Evil’ ก็คือตัวละคร เพียงแค่กับการเอาตัวละครที่คนเล่นรู้จักมาใส่ ไม่ต้องมีซอมบี้แต่ใส่ระบบการเล่นแอ็กชันสนุก ๆ ยิง ๆ อย่างภาค 4 กับ 5 หรือใส่ความน่ากลัวลงไปอย่างซีรีส์ ‘Revelations’ ทั้งสองภาคก็เพียงพอที่จะขายได้แล้ว เพราะเมื่อดูจากยอดขายของซีรีส์แล้วเกม ‘Resident Evil’ ภาคที่ขายดีที่สุดคือภาคที่เป็นแอ็กชันและต้องมีตัวละครที่แฟน ๆ รู้จัก แต่อีกด้านหนึ่ง ‘Capcom’ ได้ยินนั่นคือความไม่เป็น ‘Resident Evil’ อย่างที่แฟนกลุ่มที่ 3 ต้องการ
โดยแฟนกลุ่มนี้จะมองต่างออกไปจากสองกลุ่มที่กล่าวมา โดยแฟนกลุ่มนี้จะบอกว่า ‘Resident Evil’ ที่ไม่น่ากลัวเน้นแอ็กชันไม่ใช่ ‘Resident Evil’ เพราะเนื้อแท้ของเกมนี้คือความสยองขวัญเอาชีวิตรอดน่ากลัวสยองขวัญ กระสุนยาของที่มีจะเพียงพอลุยจนจบไหมนั่นคือสิ่งที่ ‘Resident Evil’ ควรมีและเป็น แต่ในภาคที่ 5 และ 6 นั้นตัวเกมกลับให้อารมณ์ที่ตรงข้าม เพราะเราจะมีกระสุนยาตลอดเวลาที่ไม่ให้อารมณ์เอาชีวิตรอดเลย ขณะที่ภาค ‘Revelations’ ที่ ‘Capcom’ ทำออกมาก็ดีแต่มันก็ไม่ใช่ภาคหลักที่แฟนกลุ่มนี้ต้องการ จนการมาถึงของภาค 7 ที่ทำตามที่แฟนกลุ่มนี้ต้องการ เราจึงไม่ได้เห็นคนกลุ่มนี้ออกมาพูด ทั้งที่ก่อนหน้านี้คนกลุ่มนี้คือคนที่พูดมากที่สุดเมื่อเทียบกับสองกลุ่มแรกที่ได้กล่าวมา เรียกว่าจะทำอะไรออกมาก็จะถูกแฟนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งออกมาว่า และแฟนกลุ่มที่ว่าก็คือแฟนกลุ่มหลักที่ ‘Capcom’ จะไม่สนใจก็ไม่ได้ แต่จะทิ้งคนเล่นส่วนมากที่ชอบเกมแอ็กชันก็ไม่ได้ด้วย
อะไรคือ Resident Evil ที่แท้
มาถึงตรงนี้หลายคนคงจะเกิดคำถามขึ้นมาแน่ ๆ ว่าตกลงแล้ว ‘Resident Evil’ ที่แท้จริงคืออะไร เพราะไม่ว่าจะทำแบบไหนออกมาก็ถูกแฟน ๆ อีกกลุ่มออกมาต่อว่า เช่นทำแนวแอ็กชันก็จะถูกแฟน ๆ ออกมาว่าเกมนี้ไม่ใช่ ‘Resident Evil’ อย่างที่ควรเป็น พอสร้างแบบที่แฟนกลุ่มนี้ต้องการอย่างในภาค 7 ก็จะถูกแฟนกลุ่มอื่นว่า จนทาง ‘Capcom’ เองก็งงว่าจะเอาแบบไหนดี จนสุดท้ายเราจึงได้เห็น ‘Resident Evil 6’ ที่ทางทีมพัฒนาพยายามเป็นทุกอย่างที่แฟน ๆ ต้องการ คุณชอบซอมบี้การเอาชีวิตรอดแบบภาค 0 ถึง 3 เราก็มี ต้องการหนีการตามล่าแบบในภาค 3 ก็จัดให้ หรือถ้าคุณชอบการยิงแหลกแอ็กชันกระจายภาคนี้ก็จัดให้ แต่ผลที่ออกมาคือโดนแฟนทุกฝ่ายด่าแบบไม่ได้นัดหมาย จนทาง ‘Capcom’ ไม่รู้จะไปทางไหน เพราะไม่ว่าจะจับทางไหนก็ไม่ถูกใจ
จนทาง ‘Capcom’ กลับไปหาความสยองขวัญในภาคที่ 7 ที่ทาง ‘Capcom’ รู้ว่าต้องโดนแฟน ๆ ด่าแน่ ๆ เลยพยายามใส่สิ่งที่เป็น ‘Resident Evil’ ลงไปให้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นความหลอนสยองขวัญในช่วงแรก ปริศนาการของของการวิ่งวนไปวนมาในสถานที่เดิม ๆ และในช่วงหลังเราจะมีกระสุนมากพอที่จะลุยแหลกได้ พร้อมด้วยสิ่งที่แฟน ๆ คุ้นเคยอย่างตัวละครเก่าหรือ ‘Umbrella’ เพื่อเอาใจแฟน ๆ ทั้งสองกลุ่มที่เป็นกลุ่มใหญ่และเป็นแฟนเกมนี้มากกว่า จนเมื่อยอดขายของภาค 7 เป็นไปตามที่พอใจ (ยอดขายค่อย ๆ เพิ่มไม่ได้ขายรวดเดียวแบบภาคอื่น ๆ) ทาง ‘Capcom’ จึงกล้าเข็นภาค ‘Village’ ออกมาที่คราวนี้ตัวเกมจัดเต็มแบบไม่กลัวอีกแล้วคงต้องมาดูว่า ‘Capcom’ จะทำถูกรึไม่คราวนี้
Resident Evil 4 และฉบับ Remake คือจุดตรงกลางที่ลงตัว
ถ้าถามถึงจุดลงตัวของ ‘Resident Evil’ ที่ทำออกมาถูกใจแฟนทุกฝ่ายนั่นก็คือภาค ‘Resident Evil 4’ ภาคสุดท้ายที่ชินจิสร้างเอาไว้ก่อนออกมาจาก ‘Capcom’ โดยในภาคนั้นเราจะได้เล่นเกม ‘Resident Evil’ ที่เป็นแอ็กชันยิงแหลก แต่ก็ยังมีความน่ากลัวสยองขวัญของความไม่รู้ว่าที่หมู่บ้านนี้เกิดอะไรขึ้น รวมถึงความน่ากลัวของเสียงเลื่อยไฟฟ้าที่ทุกคนต่างยอมรับเป็นเสียงเดียวกันว่า ครั้งแรกที่ได้เล่นเกมนี้ทุกคนก็กลัวเจ้าตัวนี้กันหมด จนเมื่อผู้เล่นเริ่มจับทางได้แล้วว่าเลื่อยไฟฟ้าไม่พอที่จะทำให้คนเล่นกลัว ตัวเกมก็จัดสัตว์ประหลาดอย่าง ‘Garrador’ สัตว์ประหลาดตาบอดที่มาพร้อมกงเล็บไปจนถึง ‘Maiden’ ปีศาจที่มาพร้อมเสียงร้องชวนขนลุก ที่มันจะฆ่าไม่ตายแม้จะยิงขายิงตัวไปแล้วมันก็ยังจะมากัดเราได้
เรียกว่าเป็นส่วนผสมที่ลงตัวซึ่ง ‘Capcom’ ไม่สามารถทำได้อีกเลย จนมาถึงฉบับ Remake ที่ทาง ‘Capcom’ ที่พยายามหาจุดลงตัวก็พบเส้นทางที่ควรไป เพราะในฉบับ Remake นั้นมีทุกอย่างที่แฟน ๆ ต้องการ ทั้งความน่ากลัวความสนุกลุ้นการยิงแหลกที่ถูกใจแฟน ๆ ทุกฝ่ายจนไม่มีใครออกมาบ่น แต่สุดท้าย ‘Capcom’ ก็ตกม้าตายเองเพราะความเร่งรีบในการวางจำหน่ายจนตัดสิ่งที่เกมต้นฉบับควรมีทิ้งไป ซึ่งถ้า ‘Capcom’ ไม่รีบและค่อย ๆ ทำจนเกมสมบูรณ์แบบต้นฉบับ เราก็คงไม่ได้รับเสียงชื่นชมมากกว่านี้อย่างแน่นอน และสุดท้ายเมื่อ ‘Capcom’ คิดได้ว่าเกมภาค 4 คือสิ่งที่แฟน ๆ ชอบและการ Remake ก็คือสิ่งที่แฟน ๆ หวัง จึงไม่น่าแปลกใจที่เราจะได้เห็น ‘Resident Evil 4 Remake’ ที่จะออกมาในอนาคต
สรุปแนวทางที่ Capcom เลือกเดินให้ Resident Evil ตอนนี้
จนถึงตอนนี้สิ่งที่เราพอจะสรุปเกี่ยวกับ ‘Capcom’ กับแนวทางของ ‘Resident Evil’ ก็คือการเดินทางแนวสยองขวัญที่เคยปูทางมาแล้วในภาค 7 มาสานต่อในภาค ‘Village’ และหวังว่ายอดขายของภาคนี้จะค่อย ๆ สูงขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าภาค 7 เพราะหลายคนที่ไม่ชอบเกมภาคนี้แต่พอเปิดใจลองเล่น ก็พบว่าเกมภาคนี้สนุกและต่างก็ชื่นชอบ ที่ดูได้จากยอดขายตอนนี้ ‘Resident Evil 7’ มียอดขายเป็นอันดับต้น ๆ ของซีรีส์ไปแล้ว ทาง ‘Capcom’ จึงเลือกจะเดินทางนี้ต่อไปอย่างน้อยก็น่าจะเป็นภาคที่ต่อจากนี้อีกหนึ่งภาค ก่อนจะกลับมาสู่แนวมุมมองบุคคลที่ 3 (เป็นเพียงการคาดเดา) รวมถึงการตัดชื่อภาคทิ้งไปเพื่อให้แฟน ๆ เลิกคิดถึงภาคหลักภาคแยกภาคเสริมแต่ทุกภาคคือภาคหลักไปเลย ซึ่งอันนี้ถือว่าคิดถูกเลยทีเดียว และทาง ‘Capcom’ ก็ไม่ทิ้งแฟน ๆ ในฉบับ Remake เพราะเราจะได้เห็น ‘Resident Evil 4 Remake’ ในอนาคต ซึ่งทั้งหมดนั้นก็เพื่อเอาใจแฟน ๆ ทุกฝ่ายทุกทางที่ต้องรอดูว่าเมื่อเกมออกมาจะเป็นอย่างไร
ก็จบกันไปแล้วกับเรื่องราวของ ‘Resident Evil’ ที่เปลี่ยนไปจากเดิมในความคิดของแฟน ๆ ที่เห็นความเปลี่ยนแปลงของ ‘Resident Evil Village’ ซึ่งสิ่งที่อยู่ในบทความนี้ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องทั้งหมด แต่เป็นเพียงมุมมองตรงกลางของเนื้อหา ที่พยายามอธิบายถึงมุมมองที่แฟน ๆ ทุกฝ่ายเป็น ซึ่งอาจจะไม่ถูกต้องทั้งหมด แต่ก็มากพอที่จะช่วยอธิบายให้คนที่มองมุมต่างกันเข้าใจถึงสิ่งที่แฟน ๆ อีกฝ่ายรู้สึกได้ไม่มากก็น้อย หวังว่าบทความนี้จะเป็นสื่อกลางให้ทุกคนเข้าใจอีกฝ่ายมากขึ้น และถ้าใครมีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็มาบอกกันได้เพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นกัน ส่วนคราวหน้าจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไรก็ติดตามกันได้ที่นี่ที่เดียว
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส