ถ้าใครที่ติดตามวงการเกมมาตลอดจะทราบดีว่าทาง ‘Square Enix’ ได้จัดงาน ‘Dragon Quest 35th Anniversary’ ที่มีการเปิดตัวเกมในซีรีส์ ‘Dragon Quest’ ออกมาอย่างมากมาย แต่สิ่งที่ทำให้แฟน ๆ ตื่นเต้นมาที่สุดนั่นคือการเปิดตัวเกม ‘Dragon Quest XII The Flames of Fate’ ที่ทางทีมพัฒนาบอกว่าภาคนี้จะมืดมนกว่าทุกภาคที่ผ่านมา(เอาจริง ๆ ซีรีส์นี้ก็มืดมนแอบโหดอยู่ทุกภาคอยู่แล้ว) ส่วนอีกหนึ่งจุดสำคัญที่แฟน ๆ ของซีรีส์ตื่นเต้นไม่แพ้ภาคใหม่ นั่นคือการกลับมาของ ‘Dragon Quest lll’ ที่เอามาทำใหม่อีกครั้งในรูปแบบ HD ในเกม ‘Dragon Quest III HD-2D Remake’ ที่เอาใจแฟนรุ่นเก่า ขณะที่นักเล่นเกมรุ่นใหม่อาจจะไม่รู้จักเกมนี้ว่ามันน่าสนใจขนาดไหน วันนี้เราเลยไปรวบรวมข้อมูล ‘Dragon Quest’ ภาคหลักทั้ง 10 ภาคมาให้มือใหม่ที่อยากเล่นเกมนี้ได้รู้จักกัน พอเกมออกมาจะได้เล่นเกมเหล่านี้ได้สนุกขึ้น ส่วนแฟนเก่าก็จะได้รำลึกอดีตในวันวานกันอีกครั้ง โดยเราจะเรียงลำดับจากเกมที่มือใหม่ควรเล่น โดยเริ่มจากภาคล่าสุดลงมา เพื่อให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจและหามาเล่นสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มรู้จักซีรีส์นี้ ถ้าพร้อมแล้วก็ตามมาดูกันเลย
จุดกำเนิดเกม Dragon Quest
ก่อนจะเข้าสู่เนื้อหาเรามาทำความรู้จักเกมซีรีส์ ‘Dragon Quest’ กันก่อน โดยต้องย้อนเวลากลับไปราว ๆ 35 ปีที่แล้วในช่วงปี 1986 เกม RPG หรือเกมสวมบทบาทที่บ้านเรารู้จักในชื่อเกมภาษาเกมแรก ๆ ของญี่ปุ่นได้วางจำหน่ายในชื่อว่า ‘Dragon Quest’ บนเครื่องเกม ‘Famicom’ โดยมียูจิ โฮะริอิ (Yuji Horii) เป็นผู้คิดค้นออกแบบเนื้อเรื่องและตัวเกม ซึ่งก่อนหน้านี้เขาเคยมีชื่อเสียงจากการสร้างเกมแนวสืบสวนในชื่อ ‘The Portopia Serial Murder Case’ โดยเกม ‘Dragon Quest’ นั้นได้แรงบันดาลใจจากเกมแนว RPG ของต่างประเทศอย่าง ‘Wizardry’ มาเป็นต้นแบบ โดยตัดความยุ่งยากในการใส่คำสั่งและเลือกสิ่งต่าง ๆ ออกไป เพื่อให้ง่ายต่อการเล่นสำหรับมือใหม่ รวมถึงการบอกใบ้เส้นทางผ่านตัวละครในเกมแทนที่จะต้องพึ่งแต่คู่มือในการเล่นที่ยุ่งยาก จนเมื่อเกมเริ่มเป็นรูปร่างขึ้นมาก็ได้นักเขียนการ์ตูนชื่อดังอย่าง อากิระ โทริยาม่า (Akira Toriyama) ที่กำลังโด่งดังกับการ์ตูนซีรีส์ ‘Dragon Ball’ มาช่วยออกแบบตัวละครและสัตว์ประหลาดในเกม และได้นักแต่งเพลงชื่อดังอย่างโคอิจิ ซุงิยามะ (Koichi Sugiyama) มาแต่เพลงให้จนได้เกมในตำนานเกมนี้ขึ้นมา ซึ่งในปัจจุบันทั้งสามยังร่วมมือกันสร้างผลงานกันเรื่อยมาจนถึงภาคล่าสุด
Dragon Quest Xl
เริ่มต้นเกมแรกในซีรีส์ที่น่าจะจับต้องได้ง่ายที่สุด สำหรับมือใหม่ที่อยากเล่นเกมนี้เป็นครั้งแรก นั่นคือ ‘Dragon Quest Xl’ เพราะถ้าคุณเล่นเกมนี้แล้วชื่นชอบในเนื้อเรื่องระบบการควบคุมและสิ่งต่าง ๆ ในเกมนี้ คุณก็สามารถจะเล่นเกมในซีรีส์ ‘Dragon Quest’ ภาคอื่น ๆ ได้ สำหรับคนที่ไม่รู้จักเกม ‘Dragon Quest Xl’ คือเกมภาคล่าสุดของซีรีส์ (นับเฉพาะที่ตัวเลขภาคหลัก) ที่บอกเล่าเรื่องราวของผู้กล้าที่จะกำเนิดขึ้นมาบนโลก ซึ่งจอมมารที่รู้ถึงการกำเนิดของผู้กล้าจึงชิงลงมือฆ่าผู้กล้าตั้งแต่ยังเด็กทารก แต่ด้วยชะตาฟ้ากำหนดผู้กล้าจึงเติบโตขึ้นมาและออกเดินทางเพื่อกำจัดราชาปีศาจ ซึ่งระหว่างทางนั้นเขาต้องช่วยเหลือผู้คนและได้พบเพื่อนร่วมทีมมากมาย และเห็นเนื้อเรื่องเรียบ ๆ แบบนี้แต่เนื้อหาภายในนั้นกลับซับซ้อนมีมิติที่เรียกว่าต้องมานั่งคิดกันเลยว่าอะไรคืออะไร กับการเดินทางข้ามเวลาไปเปลี่ยนอดีตที่เดาทางไม่ถูกเลยว่าเนื้อเรื่องจะไปทางไหน บอกเลยว่า ‘Dragon Quest’ ภาคนี้เป็นหนึ่งในภาคที่มีเนื้อเรื่องดีที่สุดในซีรีส์เลย
ในส่วนของกราฟิกนั้นบอกเลยว่าสวยงามสมยุคจนแฟน ๆ ‘Dragon Quest’ ต่างแทบไม่เชื่อสายตาว่าเกมนี้จะสวยงามขนาดนี้ เพราะเกมในซีรีส์นี้จะเน้นที่เนื้อเรื่องกับระบบการเล่นมากกว่ากราฟิก แต่ในภาคนี้คือความดีงามที่ลงตัว ในส่วนของระบบการเล่นก็เป็นการเลือกคำสั่งให้ตัวละครเพื่อพลัดกันโจมตีศัตรู ที่แต่ละตัวละครก็จะมีพลังความสามารถที่ต่างกันไปตามการเลือกใส่ท่าและอาวุธที่สวมใส่ โดยแต่ละคนนั้นจะถูกำหนดเป็นอาชีพต่าง ๆ ในซีรีส์ที่แฟนเก่าคุ้นเคย แต่มือใหม่ก็สามารถเข้าใจระบบได้ในทันทีที่เล่น ทั้งการเลือกคำสั่งใช้ท่าต่าง ๆ รวมถึงการสวมใส่อาวุธชุดเกราะ ตารางเพิ่มพลังความสามารถให้ตัวละคร ไปจนถึงการหาวัตถุดิบมาสร้างอาวุธที่เป็นจุดเด่นของเกมนี้ก็เข้าถึงง่าย ใครที่สนใจก็ลองหามาเล่นกันได้เพราะมีทั้งบน ‘PC’, ‘Nintendo 3DS’, ‘Nintendo Switch’ และ ‘Playstation 4’ ในรูปแบบฉบับสมบูรณ์ที่เพิ่มเติมหลาย ๆ อย่างในเกมในชื่อ ‘Dragon Quest Xl S Echoes of an Elusive Age’ ตอนซื้อก็ดูดี ๆ ก่อนเดี๋ยวไปได้ภาคแบบเก่ามาจะไม่คุ้มค่า
Dragon Quest lX
มากันที่ภาคต่อของซีรีส์ ‘Dragon Quest’ ในภาคที่ 9 ของตำนานตามหามังกร (ภาคที่สิบจะเป็นรูปแบบเกมออนไลน์ที่บ้านเราเข้าไปเล่นไม่ได้จึงไม่ขอเอามาพูดถึง) โดยภาคนี้จะถูกทำลงบนเครื่องเกมพกพาอย่าง ‘Nintendo DS’ ในปี 2009 ซึ่งหลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมถึงเอาเกมนี้มาลงบนเครื่องพกพา ทำไมไม่เอาลงบนเครื่อง ‘Playstation 3’ นั่นก็เพราะเกมซีรีส์นี้จะเลือกลงเฉพาะเครื่องเกมที่ขายดีที่สุดในตลาดช่วงนั้นเป็นหลัก โดยในภาคนี้จะบอกเล่าเรื่องราวที่ต่างกับภาคก่อน ๆ ของซีรีส์ เพราะเราจะไม่ใช่มนุษย์ที่เกิดมาเป็นผู้กล้าเหมือนคนอื่น แต่เราจะเป็นเทวทูตที่เรียกว่า ‘Celestrians’ ที่ตามเก็บรวบผลไม้ ‘Fygg Yggdrasil’ แต่วันหนึ่งได้มีพลังบางอย่างมาทำลายต้นไม้จนผลไม้ตกลงไปบนโลก เราที่เป็นเทวทูตตกสวรรค์จึงต้องออกไปไปรวบรวมผลไม้คืนมา และหาต้นตอของสิ่งที่เกิดขึ้นว่ามาจากอะไร
ในส่วนของตัวเกมนั้นแม้จะเป็นเครื่องพกพา แต่ตัวเกมก็พยายามใส่กราฟิกที่มีสีสันสดใสลงไปเพื่อชดเชยแทนภาพที่ไม่ค่อยชัด โดยภาคนี้จะเป็นครั้งแรกที่เราสามารถสร้างตัวละครผู้กล้าเองได้ ว่าจะหน้าตาแบบไหนตัวสูงเตี้ยไปจนถึงถึงทรงผมและเพศของตัวละคร นอกจากนี้ตัวเกมยังอ้างอิงระบบการเล่นของ ‘Dragon Quest lll’ ในการเลือกเพื่อนร่วมทีมที่มีหลากหลายอาชีพ ซึ่งเราก็สามารถสร้างเพื่อน ๆ ขึ้นมาได้ด้วย อีกหนึ่งจุดเด่นที่น่าสนใจคือการสวมใส่ชุดเกราะอาวุธที่ซื้อตามร้าน เราจะได้เห็นตัวละครเหล่านั้นสวมใส่ได้ด้วย ในส่วนของระบบการเล่นภาคนี้ก็จะเน้นที่ความเรียบง่ายไม่ซับซ้อน ซึ่งความสนุกของเกมนี้คือการหาอาชีพใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มความสามารถให้ตัวละคร กับเนื้อเรื่องที่สนุกน่าติดตามที่ในอดีตนั้นเมื่อเราเล่นจบแล้วก็สามารถโหลดไปรับภารกิจเนื้อเรื่องเล่นต่อได้ แต่ตอนนี้ไม่สามารถโหลดได้แล้ว ในส่วนของตัวเกมภาคนี้ยังมีให้เล่นแค่บน ‘Nintendo DS’ เท่านั้น อนาคตก็หวังว่าจะได้เห็นการ Remake เกมนี้แบบภาคอื่น ๆ ในอนาคต
Dragon Quest Vlll
อีกหนึ่งเกมในซีรีส์ ‘Dragon Quest’ ที่เข้าถึงง่ายสำหรับมือใหม่ที่อยากเล่นเกมนี้เป็นครั้งแรก กับเกม ‘Dragon Quest VIII Journey of the Cursed King’ ที่ได้ทีมพัฒนามากความสามารถในตอนนั้นอย่าง ‘Level-5’ เป็นคนสร้าง ตัวเกมวางจำหน่ายในปี 2004 บนเครื่อง ‘Playstation 2’ และเป็นครั้งแรกที่เกมนี้ใช้ชื่อ ‘Dragon Quest’ ในต่างประเทศ(ภาคก่อนหน้านี้จะใช้ชื่อว่า ‘Dragon Warrior’ เพราะปัญหาลิขสิทธิ์) ในส่วนของเนื้อเรื่องจะบอกเล่าเรื่องราวของนายทหารหนุ่มที่ออกเดินทางไปพร้อมกับม้าขาวแสนสวย สัตว์ประหลาดตัวเขียวและชายร่างอ้วนที่ดูไม่เป็นมิตร เพื่อตามล่าดุลมากัส (Dhoulmagus) ปีศาจที่สาปชาวเมือง Trodain ให้กลายเป็นต้นไม้ ซึ่งระหว่างเดินทางนั้นผู้กล้า(พระเอกซีรีส์นี้จะไม่มีชื่อเราต้องตั้งเองทุกภาค) จะได้พบเจอเรื่องราวมากมายและเพื่อนร่วมทีมจากการเดินทาง ก่อนจะบานปลายไปถึงชาติกำเนิดของผู้กล้ากับการช่วยโลกใบนี้จากราชาปีศาจที่ถูกปลดปล่อย ซึ่งแฟน ๆ ‘Dragon Quest’ จะทราบดีว่าการเปิดเรื่องที่เรียบง่ายแบบนี้มันคือตัวหลอกเราให้หลงเชื่อ เพราะเนื้อหาจริง ๆ นั่นมันช่างซับซ้อนกับโลกที่กว้างใหญ่ที่รอคุณไปค้นหาคำตอบ
ในส่วนของตัวเกมภาคนี้นับเป็นครั้งแรกที่เกมเริ่มเป็นมิตรกับผู้เล่นมือใหม่ ทั้งในส่วนของระบบการเล่นควบคุมตัวละครไปจนถึงเนื้อเรื่องที่ถูกเปลี่ยนไปจากภาคก่อน โดยในภาคนี้จะมีเพียง 4 ตัวละครในเกม ที่เรียกว่าน้อยมาก ๆ เมื่อเทียบกับภาคอื่น ๆ แต่ตัวเกมก็ชดเชยด้วยระบบการชักชวนมอนสเตอร์มาเป็นพวกและเรียกมาต่อสู้แทนได้ ในส่วนของกราฟิกเกมภาคนี้ก็สวยงามกับโลกที่กว้างใหญ่ซึ่งเป็นครั้งแรกที่แฟน ๆ ‘Dragon Quest’ จะได้เห็นเกมนี้มีกราฟิกที่สวยขนาดนี้(ถ้าได้อ่านต่อไปจะทราบว่าทำไม) ในส่วนของระบบการเล่นภาคนี้จะเพิ่มเติมในส่วนของระบบการใช้ท่าตามอาวุธที่เลือกใส่ ที่เมื่อเราต่อสู้จนได้ค่าพลังมาเราจะเลือกได้ว่าจะเอาค่านี้ไปเพิ่มให้กับอาวุธชนิดใด แทนการเลือกอาชีพแบบในภาคอื่น ๆ ใครที่สนใจอยากหามาเล่นก็สามารถเล่นได้ทั้งบนโทรศัพท์มือถือและบน ‘Playstation 2’ แต่ถ้าใครอยากได้แบบ Remake ก็ต้องไปซื้อฉบับ ‘Nintendo 3DS’ มาเล่น เพราะภาคนี้จะเพิ่มเนื้อเรื่องและเพื่อนร่วมทีมมาให้อีกสองคน ตัวเกมเหมาะสำหรับมือใหม่ที่อยากเริ่มเล่นซีรีส์นี้เป็นครั้งแรก
Dragon Quest Vll
มาถึงจุดกึ่งกลางระหว่าง ‘Dragon Quest’ รูปแบบเก่าและรูปแบบใหม่ที่ผสมกันอย่างลงตัวใน ‘Dragon Quest Vll’ ตัวเกมวางจำหน่ายครั้งแรกบนเครื่อง ‘Playstation 1’ ในปี 2000 กับเรื่องราวที่เรียบง่ายชนิดที่ว่าตลอดช่วงแรกที่เปิดเกมนี้เล่น เราจะไม่ได้สู้กับศัตรูเลย แต่จะเป็นการเดินเล่นในหมู่บ้านเพื่อทำภารกิจต่าง ๆ ที่เกมกำหนด โดยในภาคนี้เราจะได้รับบทเป็นลูกชาวประมงบนเกาะเล็ก ๆ ที่ชอบออกเที่ยวกับเจ้าชายที่ไปเจอแผ่นหินโบราณ ก่อนจะบานปลายเป็นการเดินทางข้ามมิติไปยังดินแดนอื่น ๆ เพื่อช่วยเหลือดินแดนนั้น ๆ ที่กำลังถูกปีศาจยึดครอง ซึ่งเมื่อเราเล่นไปได้ครึ่งเกมตัวเกมจะเปลี่ยนจากการเดินทางของเด็ก ๆ เป็นการกอบกู้โลกที่มีเนื้อหาจริงจังขึ้น ตัวเกมมีเนื้อเรื่องที่สนุกน่าติดตาม ถ้าใครที่ได้เล่นต้องชื่นชอบภาคนี้อย่างแน่นอน
อย่างที่เราอธิบายไปในตอนต้นว่า ‘Dragon Quest Vll’ นั้นอยู่กึ่งกลางระหว่างแบบเก่าที่แฟนเก่าชื่นชอบ และแบบใหม่ที่เหมาะสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มเล่นซีรีส์นี้ครั้งแรก เพราะตัวเกม ‘Dragon Quest Vll’ นั้นจะมี 2 แบบที่ต่างกันอย่างชัดเจนเมื่อเกมถูกเอามา Remake โดยแบบแรกคือเกมฉบับเก่าที่วางจำหน่ายบน ‘Playstation 1’ นั้นตัวเกมจะใช้รูปแบบการเล่นการควบคุมรวมถึงหน้าเมนูที่เป็นแบบเก่า ซึ่งมือใหม่ที่ไม่เคยเล่นเกมนี้มาก่อน พอมาเจอหน้าเมนูกับกราฟิกแบบเก่ารับรองว่าต้องงงจนกดไม่ถูก นี่ยังไม่นับระบบต่อสู้ที่ภาคนี้เราจะไม่เห็นตัวละครแบบในภาคหลัง ๆ แต่จะเป็นการเลือกคำสั่งและเราจะเห็นท่าทางการโจมตีของเรากับศัตรูผ่านตัวหนังสือที่วิ่งบอกด้านล่าง ว่าเราโจมตีหรือถูกโจมตีเท่าใด ซึ่งนั่นคือรูปแบบที่เกมซีรีส์ทำมาตลอดทุกภาค แต่ในฉบับ Remake บนเครื่อง ‘Nintendo 3DS’ นั้นจะต่างออกไป เพราะตัวเกมภาคนี้จะถูกเปลี่ยนทุกอย่างใหม่ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นกราฟิกที่สวยงาม หน้าเมนูที่เข้าใจง่ายเพื่อให้แฟน ๆ หน้าใหม่ที่เพิ่งเคยเล่นเกมนี้ครั้งแรกได้เข้าใจ รวมถึงหน้าจอในฉากต่อสู้ที่คราวนี้เราจะเห็นตัวละครในตอนสู้แล้ว แถมยังมีการเปลี่ยนชุดไปตามอาชีพต่าง ๆ ที่เลือกใช้ซึ่งเป็นจุดเด่นของภาคนี้ที่มีการเพิ่มอาชีพต่าง ๆ เข้ามาจากภาคก่อน สำหรับมือใหม่ขอแนะนำให้เล่นบนเครื่อง ‘Nintendo 3DS’ จะดีกว่า
Dragon Quest Vl
สำหรับมือใหม่ที่อยากเล่นเกม ‘Dragon Quest’ นับตั้งแต่ภาค ‘Dragon Quest Vl’ นี้ลงมา ตัวเกมจะไม่เป็นมิตรกับมือใหม่แล้วแม้จะเป็นฉบับภาคอังกฤษหรือแบบ Remake ตัวเกมก็ยังคงรูปแบบการเล่นควบคุมที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลยนอกจากกราฟิกเท่านั้น โดยเนื้อเรื่องของภาคนี้เราจะได้รับบทเป็นเด็กชายในหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ฝันถึงการเดินทางไปปราบราชาปีศาจแบบนี้ทุกวัน จนเด็กหนุ่มเลือกที่จะออกเดินทางเพื่อค้นหาความจริงว่าความฝันนั้นคืออะไร จนได้เจอกับเพื่อนสองคนที่หน้าตาเหมือนที่พบในฝัน ก่อนจะทราบความจริงเกี่ยวกับแผ่นดินมายา ที่ทั้งหมดต้องเดินทางเพื่อปราบราชาปีศาจเพื่อช่วยโลกทั้งสอง ตัวเกมเปิดเรื่องมาเรียบง่ายแต่ก็เป็นภาคหนึ่งที่มีเนื้อเรื่องน่าสนใจ ที่ยิ่งเล่นเราจะยิ่งรู้ว่าความฝันของมนุษย์นั้นมีค่า ขนาดที่ว่าราชาปีศาจที่ไร้ความฝันยังอยากกลืนกินเพื่อจะได้มีความฝันแบบมนุษย์ บอกเลยว่าเนื้อเรื่องซับซ้อนจนหยุดเล่นไม่ได้เลย
ในส่วนของตัวเกมนั้นวางจำหน่ายครั้งแรกบนเครื่อง ‘Super Famicom’ ในปี 1995 ที่ในตอนนั้นเรียกว่าเป็นการเปิดตัวเกมที่ยิ่งใหญ่ ที่แม้แต่ในบ้านเรายังรอคอยเกมนี้ เพราะนี่เป็นครั้งแรกของซีรีส์ที่เราจะได้เห็นตัวมอนสเตอร์ในเกมขยับได้เมื่อมันจะโจมตีเรา ซึ่งในภาคก่อนหน้านี้เราจะเห็นแค่ตัวสัตว์ประหลาดยืนนิ่ง ๆ และมีเสียงบอกให้เรารู้ว่าศัตรูโจมตีมาโดนเราพร้อมกับค่าพลังที่ขึ้นด้านล่าง ในส่วนของระบบการเล่นภาคนี้จะเหมือนกับ ‘Dragon Quest Vll’ บน ‘Playstation 1’ ที่ตัวละครจะมีอาชีพตายตัวในตอนเริ่มต้น ก่อนที่ในช่วงหลังเราจะสามารถเปลี่ยนอาชีพต่าง ๆ ได้ โดยแต่ละอาชีพก็จะมีค่าพลังท่วงท่าที่ต่างกันซึ่งเป็นระบบที่พัฒนาต่อยอดมาจาก ‘Dragon Quest lll’ มาดัดแปลง ถ้าใครที่สนใจอยากเล่นตัวเกมก็มีฉบับ Remake บนโทรศัพท์มือถือและบน ‘Nintendo DS’ ที่ตัวเกมได้ปรับหน้าเมนูให้เข้าใจง่ายขึ้นเมื่อเทียบกับต้นฉบับ ถ้าคุณผ่าน ‘Dragon Quest’ ภาคก่อน ๆ มาแล้วเกมนี้ก็น่าจะเล่นได้เพราะระบบต่าง ๆ ก็เหมือนภาคก่อนแค่เราจะไม่เห็นตัวละครเท่านั้น
Dragon Quest V
เชื่อว่าหลายคนคงจะคุ้นเคยกับ ‘Dragon Quest’ ภาคนี้มากที่สุด เพราะตัวเกมนั้นถูกเอามา Remake หลายครั้งมาก ๆ ตั้งแต่ครั้งแรกที่ตัวเกมวางจำหน่ายบนเครื่อง ‘Super Famicom’ ในปี 1992 แถมยังมีฉบับภาพยนตร์การ์ตูนที่ฉายไปเมื่อปีที่แล้วในเรื่อง ‘Dragon Quest Your Story’ ที่แฟน ๆ เกม ‘Dragon Quest’ ต่างไม่พอใจ แต่ตัวเกมภาคนี้ถือเป็นภาคที่มีเนื้อเรื่องสนุกน่าติดตามที่สุดเมื่อเทียบกับภาคอื่น ๆ เพราะภาคนี้เราจะไม่ได้รับบทเป็นผู้กล้าเหมือนตัวละครอื่น ๆ ในซีรีส์ แต่เราจะได้เล่นเป็นพ่อของผู้กล้าที่ต้องให้กำเนิดลูกชายที่จะมาปกป้องโลก กับเรื่องราวการเดินทางของพระเอกกับพ่อที่ตามหาแม่ที่ถูกราชาปีศาจจับไป ตัวเกมจะเริ่มเล่าตั้งแต่วัยเด็กของพระเอกไปจนถึงการเติบโตเป็นหนุ่ม จนต้องเลือกหนึ่งในสองเจ้าสาวที่เกมกำหนดเพื่อให้กำเนิดผู้กล้าในเวลาต่อมา และในฉบับ ‘Nintendo DS’ ได้เพิ่มเจ้าสาวเป็นสามคน ซึ่งแม่ที่เราเลือกจะส่งผลถึงพลังต่าง ๆ ที่ลูกแฝดของเรามีอีกด้วย ใครที่เคยดูการ์ตูนมาแล้วบอกเลยว่ามันเป็นพียงเสี้ยวเดียวจากเนื้อเรื่องเกมที่เราได้เล่น
ในส่วนของระบบการเล่นภาคนี้จะต่างกับ ‘Dragon Quest’ ภาคอื่นตรงที่เพื่อนร่วมทีมในเกมนี้จะมีหลายคน ทั้งแบบได้มาตามเนื้อเรื่องแล้วก็ไปจนถึงแบบที่มาแล้วอยู่กับเราเลยจนจบเกม นอกจากนี้ก็ยังมีการชวนมอนสเตอร์ที่สู้มาเป็นพวกด้วย เหมือนกับเกมซีรีส์ ‘Pokemon’ แต่เกม ‘Dragon Quest V’ วางจำหน่ายก่อนถึง 4 ปี นอกนั้นตัวเกมก็ไม่มีอะไรพิเศษ เพราะตัวละครที่เราได้มาก็จะมีพลังความสามารถที่ต่างกันตามแต่บุคคล รวมถึงมอนสเตอร์ที่เราได้ก็จะมีพลังที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งนั่นก็คือความสนุกของเกมภาคนี้ที่จะเน้นเนื้อเรื่องกับกราฟิกที่สวยงามขึ้นกว่าภาคก่อน ถ้าใครที่สนใจอยากเล่นก็มีบนโทรศัพท์มือถือกับบน ‘Nintendo DS’ ที่ปรับให้เล่นง่ายขึ้น แต่ที่เราอยากให้ลองหามาเล่นคือฉบับบน Remake บน ‘Playstation 2’ ที่มีกราฟิก 3D ที่สวยงามกว่าบนโทรศัพท์และเครื่อง ‘Nintendo DS’ ใครมีเครื่อง ‘Playstation 2’ แนะนำให้หามาเล่น แผ่นมือสองมีขายราคาไม่แพงตามแหล่งซื้อขายเกม ได้เล่นแล้วรับรองว่าจะติดใจ
Dragon Quest lV
เดินทางมาถึงเกม ‘Dragon Quest lV’ ที่ตัวเกมต้นฉบับนั้นวางจำหน่ายบนเครื่อง ‘Famicom’ ในปี 1990 กับการเล่าเรื่องที่แปลกที่สุดในซีรีส์ เพราะแทนที่เราจะได้เล่นเป็นผู้กล้ามาตั้งแต่เปิดเกม เรากลับได้เล่นเป็นอัศวินที่ตามคดีเด็กหาย จนเมื่อเล่นจบเราก็จะได้เล่นเป็นพ่อค้าที่เดินทางขายของและหาเงินมาขุดถ้ำเพื่อใช้ในการเดินทาง ต่อมาก็คือเรื่องราวของเจ้าหญิงจอมแก่นที่หนีออกมาเที่ยวเล่น โดยมีนักบวชกับคุณลุงผู้ใช้เวทมนตร์เดินทางไปด้วย พอจบก็จะได้เล่นเป็นสองสาวฝาแฝด คนพี่เป็นนักเต้นส่วนคนนอกเป็นหมอดูที่เดินทางแก้แค้นให้พ่อ พอจบก็จะได้เล่นเป็นผู้กล้าที่หมู่บ้านถูกทำลาย จนเราต้องออกเดินทางและเจอทุกคนที่เราเคยได้เล่นเพื่อไปปราบราชาปีศาจ นับเป็นการเล่าเรื่องที่แปลกมาก ๆ ซึ่งแต่ละเรื่องราวเมื่อมาถึงเนื้อเรื่องของผู้กล้า เนื้อหาทั้งหมดจะผูกรวมกันจนเราเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดได้ ซึ่งนี่คือหนึ่งในจุดเด่นที่เกมซีรีส์ ‘Dragon Quest’ ภาคนี้มี
มาที่ระบบการเล่นที่เรียกว่าเป็นจุดเด่นในจุดด้อย ที่ทุกคนในยุคนั้นที่ซื้อเกมนี้มาเล่นต่างงงเป็นไก่ตาแตก กับระบบการเล่นที่ล้ำสมัยเกินยุคที่ทีมพัฒนาใส่ลงมา นั่นคือเมื่อเราเล่นถึงเนื้อเรื่องผู้กล้าจนได้เพื่อนร่วมทีมมา เราจะไม่สามารถสั่งเพื่อนร่วมทีมได้เหมือนภาคอื่น ๆ นอกจากผู้กล้า เราจะทำได้แค่สั่งพวกเขาให้โจมตีอย่างเดียว ใช้เวทมนตร์อย่างเดียวหรือใช้ทุกอย่างที่มีในการต่อสู้ ซึ่งมันเป็นคำสั่งสำเร็จรูปที่ถูกใส่มาในทุกภาคหลังจากนั้น โดยโฮะริอิได้ให้เหตุผลที่ทำแบบนี้ เพราะต้องการให้ผู้เล่นได้รับความรู้สึกเหมือนกำลังเล่นกับผู้เล่นออนไลน์คนอื่น ๆ อยู่ ซึ่งกว่าแนวคิดนี้จะเป็นจริงก็ล่วงเลยมาถึง ‘Dragon Quest X’ ในอีกหลายสิบปีต่อมา ซึ่งสำหรับคนที่อยากเล่นตัวเกมก็มีฉบับ Remake บนโทรศัพท์มือถือและ ‘Nintendo DS’ แต่ถ้าอยากเล่นจริง ๆ เราแนะนำให้หาฉบับ Remake บน ‘Playstation 1’ มาเล่นจะให้ภาพที่สวยกว่าบน ‘Nintendo DS’ กับมือถือส่วนแผ่นมือสองก็หาซื้อไม่อยากเหมาะแก่การหามาสะสม
Dragon Quest lll
มาถึงภาคที่เป็นประเด็นที่ทำให้หลายคนสนใจอยากมาเล่นเกมนี้ เพราะเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาได้มีการประกาศ Remake เกม ‘Dragon Quest lll’ ในชื่อ ‘Dragon Quest III HD-2D Remake’ ที่ตัวเกมได้เปลี่ยนตัวกราฟิกรวมถึงหน้าเมนูในการเลือกคำสั่งไปจนถึงฉากต่อสู้ที่เป็นแบบ ‘Dragon Quest’ ภาคใหม่ ๆ เพื่อให้แฟน ๆ รุ่นใหม่ได้เข้าถึงตัวเกม โดยเรื่องราวในฉบับ HD-2D Remake นั้นก็ยังคงใช้เนื้อเรื่องเดิมจากต้นฉบับบนเครื่อง ‘Famicom’ ที่วางจำหน่ายในปี 1988 กับเรื่องราวของผู้กล้าที่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้าเพื่อไปเข้าเฝ้าพระราชา เพื่อออกเดินทางไปปราบราชาปีศาจที่พ่อของเขาได้หายตัวไประหว่างเดินทาง ซึ่งในสมัยนั้นเกม ‘Dragon Quest lll’ ได้รับความนิยมจนถึงขีดสุด จนขนาดเด็ก ๆ ในญี่ปุ่นต่างพากันโดดเรียนเพื่อมาซื้อเกมนี้ จนทางรัฐบาลต้องขอร้องให้เกมซีรีส์นี้วางจำหน่ายในวันหยุด ส่วนในบ้านเราเกมนี้ก็ถือเป็นเกมแรก ๆ ที่หลายคนได้รู้จักคำว่าเกมภาษา และถูกหลอกด้วยหน้าปกที่เหมือนการ์ตูน ‘Dragon Ball’ ที่กำลังดังในยุคนั้น
ในส่วนของระบบการเล่นถ้าคุณได้ผ่านเกม ‘Dragon Quest’ ภาคอื่น ๆ มาก่อนอย่างระบบการเลือกเพื่อนร่วมทีมในร้านเหล้าของภาค 9 ระบบเปลี่ยนอาชีพในภาคที่ 6 ภาค 7 และภาค 9 มาแล้ว จะรู้เลยว่าระบบที่กล่าวมานั้นถูกเริ่มต้นใช้ครั้งแรกในเกมภาคนี้ โดยตัวละครของเราเมื่อเลือกไปแล้วจะเปลี่ยนเป็นอาชีพอื่นไม่ได้ จนไปถึงกลางเกมเราจะสามารถเปลี่ยนอาชีพให้เพื่อนได้ แถมความสามารถจากอาชีพก่อนก็ยังอยู่ นับเป็นการพัฒนาระบบซึ่งกลายเป็นรากฐานให้ซีรีส์ ‘Dragon Quest’ มานับตั้งแต่นั้น และด้วยความดีงามของระบบเกมนี้จึงถูก Remake ทั้งบน ‘Super Famicom’ ที่ตัวมอนสเตอร์สามารถขยับได้ ไปจนถึงภาค ‘Game Boy Color’ กับบนโทรศัพท์มือถือ ที่ถ้าคุณรอฉบับ HD-2D Remake ไม่ไหวก็แนะนำให้ไปหาฉบับ ‘Super Famicom’ มาเล่น เพราะกราฟิกที่สวยงามน่าเล่นกว่าบน ‘Game Boy Color’ มากมายนัก ส่วนสายสะสมเราขอแนะนำให้หาทั้งแบบ ‘Super Famicom’ และแบบ ‘Famicom’ มาเก็บ
Dragon Quest ll
สำหรับ ‘Dragon Quest ll’ ต้องเรียกว่าเป็นการสานต่อความสำเร็จจากภาคแรกที่ทำเอาไว้ และได้เพิ่มเติมพร้อมกับตัดอะไรหลาย ๆ อย่างที่ไม่เข้าท่าของเกมภาคแรกทิ้งไป จนกลายเป็นเกมที่สมบูรณ์แบบในภาคนี้ ซึ่งเรื่องราวในภาคนี้จะสานต่อมาจาก ‘Dragon Quest’ ภาคแรกหลายร้อยปี เมื่อลูกหลาย ‘Roto’ ในภาคแรกได้มาสร้างดินแดนของตนเอง จนวันหนึ่งราชาปีศาจที่ตื่นขึ้นมาได้บุกทำลายหนึ่งในเมืองของลูกหลาน ‘Roto’ จนเจ้าชายและเจ้าหญิงที่สืบเชื้อสาย ‘Roto’ ทั้งสามคนต้องเดินทางไปปราบราชาปีศาจ ซึ่งพื้นที่หลาย ๆ ส่วนของเกมนี้ก็จะอ้างอิงมาจากภาคที่แล้ว ทั้งปราสาทราชามังกรไปจนถึงดินแดนอื่น ๆ กับเรื่องราวที่สนุกน่าติดตาม ซึ่งถ้าคุณเล่นภาคอื่น ๆ มาแล้วก็ไม่ควรพลาดในภาคนี้
อย่างที่เราได้บอกไปในตอนต้นว่าเกมนี้คือการพัฒนาจากภาคแรก ที่มีเพียงตัวละครเดียวแต่ในภาค ‘Dragon Quest ll’ จะเพิ่มมาเป็น 3 คน ที่ทั้งสามคนนั้นจะมีจุดเด่นจุดด้อยที่ต่างกัน เริ่มจากคนแรกจะมีพลังโจมตีที่สูงแต่จะใช้เวทมนตร์ไม่ได้ คนที่สองจะเป็นหญิงสาวที่ใช้เวทมนตร์ได้แต่พลังโจมตีต่ำ ขณะที่คนสุดท้ายจะใช้เวทมนตร์และโจมตีได้แต่พลังจะเทียบกับ 2 ตัวละครก่อนไม่ได้ ซึ่งนั่นคือจุดเด่นของภาคนี้ ที่นอกจากเรื่องราวที่สานต่อจากภาคแรกแล้ว เนื้อหาก็ยังยาวขึ้นจริงจังขึ้นสนุกขึ้นจนแฟน ๆ ที่เล่นภาคแรกไปแล้วรอคอยภาคนี้ โดยตัวเกมวางจำหน่ายบนเครื่อง ‘Famicom’ ในปี 1987 และแน่นอนว่าตัวเกมก็ถูก Remake ลงบนเครื่อง ‘Super Famicom’, ‘Game Boy’ และบนโทรศัพท์มือถือ ใครที่สนใจก็ไปหาเล่นฉบับ ‘Super Famicom’ เพราะตัวเกมทำออกมาดีกว่าบนมือถือเสียอีก
Dragon Quest l
และก็มาถึงภาคแรกสุดของซีรีส์ ที่เราอยากแนะนำให้คนที่สนใจหามาเล่นเป็นเกมท้าย ๆ เพราะอย่างที่เราก็ทราบดีว่าตัวเกมภาคนี้นั้นเป็นภาคแรกสุดของซีรีส์ ดังนั้นระบบทุกอย่างที่เคยมีในภาคหลัง ๆ จึงยังไม่มีในภาคนี้ ดังนั้นถ้าคุณจะเริ่มเล่นเกมซีรีส์นี้ก็ไม่ควรจะเล่นจากภาคนี้ เพราะมันอาจจะทำให้คุณเบื่อจนเลิกเล่นไปก่อน ร่วมถึงเนื้อเรื่องในเกมภาคนี้ก็ไม่มีอะไรซับซ้อน แค่ผู้กล้าออกเดินทางเพื่อไปช่วยเจ้าหญิงที่ถูกราชามังกรจับไป แต่กว่าที่เราจะไปได้ต้องรวบรวมของวิเศษจนครบ เพื่อสร้างสะพานสายรุ้งในการไปปราบราชามังกร ซึ่งระหว่างทางนั้นผู้กล้าต้องช่วยผู้คนเพื่อฝึกฝนตนเองจนเก่งกล้า ตัวเกมวางจำหน่ายบนเครื่อง ‘Famicom’ ในปี 1986
ด้วยความที่เป็นเกมภาคแรกของซีรีส์ที่ทางโฮะริอิได้แรงบันดาลใจมาจากเกม ‘Wizardry’ เกม ‘Dragon Quest’ จึงตัดระบบที่ยุ่งยากของเกม ‘Wizardry’ ออกไป ทั้งการพูดคุยกับชาวเมือง การพิมพ์คำสั่งเพื่อให้ตัวละครทำสิ่งต่าง ๆ มาเป็นทุกอย่างสามารถเลือกและกดได้เลย แถมเนื้อเรื่องก็ยังอ้างอิงมาจากตำนานผู้กล้าที่ออกเดินทางช่วยเจ้าหญิง ที่เป็นแนวแฟนตาซีที่ยุคนั้นนิยมใช้ ด้วยความแปลกใหม่ที่น่าสนใจบวกกับหน้าปกที่สวยงาม จึงทำให้เกมนี้ขายดีจนมีภาคต่อออกมา ซึ่งถ้าคุณอยากหาเกมนี้มาเล่นก็มีทั้งแบบต้นฉบับดั่งเดิมที่เอามาขายใหม่ตามเครื่องต่าง ๆ ไปจนถึงบนโทรศัพท์มือถือบนเครื่อง ‘Game Boy’ และบนเครื่อง ‘Super Famicom’ ที่เราขอแนะนำให้คุณเล่นอันนี้ เพราะภาพจะสวยกว่าแถมเหมาะแก่การหามาสะสมด้วย
ก็จบกันไปแล้วกับเรื่องรางใน ‘Dragon Quest’ ทั้ง 10 ภาคที่เราเอามานำเสนอ หวังว่าจะถูกใจมือใหม่ที่อยากเกมซีรีส์นี้ จะได้เริ่มถูกว่าจะเล่นจากภาคไหนก่อนดี ซึ่งหลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมพูดถึงภาค 11 แล้วกระโดดข้ามมาที่ภาค 9 เลย นั่นก็เพราะในเกม ‘Dragon Quest X’ จะเป็นเกมออนไลน์ที่ต้องจ่ายเงินรายเดือนในการเข้าเล่น แถมตัวเกมยังไม่มีภาษาอังกฤษ และบ้านเราก็ไม่สามารถเข้าไปเล่นได้จึงขอข้ามในส่วนนี้ไป แต่ในอนาคตจะมี ‘Dragon Quest X’ ออฟไลน์ให้เล่น เอาไว้ถึงตอนนั้นเราค่อยมาพูดถึงยังไงก็ติดตามอ่านกันได้ที่แบไต๋ ไฮเทครับรองไม่พลาดทุกข่าวสารในวงการเกม ส่วนคราวหน้าจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไรก็ติดตามกันได้ที่นี่ที่เดียว
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส