เรียกว่าเปิดตัวมาอย่างยิ่งใหญ่ถูกใจสายเกมต่อสู้ ที่ช่วงนี้เกมแนวนี้กำลังกลับมาให้เราเล่นกันอีกครั้ง หลังจากที่หายไปนานไม่ว่าจะเป็น ‘The King of Fighters XV’ ที่เปิดตัวมาได้ยิ่งใหญ่ถูกใจแฟน ๆ จนมาถึงคิวของพี่ใหญ่ในวงการเกมต่อสู้อย่าง ‘Street Fighter’ ที่ก็ประกาศภาคที่ 6 ออกมาให้เราได้เห็น ริว (Ryu) หุ่นหมีหน้าตาคล้าย คริส เรดฟิลด์ (Chris Redfield) ในซีรีส์ ‘Resident Evil’ อัดกับตัวละครคนสุดท้ายใน ‘Street Fighter V’ อย่าง ลุค (Luke) ตัวละครที่จะมีบทบาทสำคัญในภาคที่ 6 นี้ ซึ่งกว่าจะไปถึงตอนนั้นเรามาย้อนดูเรื่องราวที่น่าสนใจของเกมนี้ ที่หลายคนอาจจะไม่ทราบมาก่อนว่า เกมชื่อดังในอดีตอย่าง ‘Final Fight’ และ ‘Fatal Fury’ ครั้งหนึ่งเคยเป็นภาคต่อของเกม ‘Street Fighter’ กับอีกเกมนั้นคือเกมที่สืบทอดจิตวิญญาณของ ‘Street Fighter’ เรามาหาคำตอบไปพร้อม ๆ กันเลย
เริ่มต้นเกมแรกอย่าง ‘Final Fight’ เกมแอ็กชันเดินหน้าอัดศัตรู ที่เรียกเกมแนวนี้ว่า ‘Beat-’em-up’ เปิดตัวบนเกมตู้อาร์เขตในปี 1989 ตัวเกมจะให้เราเลือกเป็น 3 ตัวละคร ที่มีรูปแบบการควบคุมและท่าต่อสู้ต่างกันในการอัดศัตรูแบบต่อเนื่อง โดนเราจะสามารถเล่นได้สองคนพร้อมกันในฉาก ซึ่งเป็นที่ถูกอกถูกใจคนในยุคนั้นมาก ๆ แต่ก่อนที่จะมาเป็นเกม ‘Final Fight’ ที่เรารู้จัก ต้องย้อนกลับไปในปี 1987 ตัวเกมถูกพัฒนาในชื่อเกม ‘Street Fighter ’89’ ที่ทางทีมพัฒนา ‘Capcom’ ต้องการให้เกม ‘Street Fighter’ ภาคใหม่เป็นแนว ‘Beat-’em-up’ ตามกระแสนิยมในยุคนั้นที่เกม ‘Double Dragon’ กำลังโด่งดัง โดยทางทีมงานต้องการให้ริวกับ เคน มาสเตอร์ (Ken Masters) เป็นตัวละครหลัก
โดย โยชิกิ โอคาโมโตะ (Yoshiki Okamoto) ได้ออกมาเปิดเผยว่า ก่อนที่เกม ‘Final Fight’ เปิดตัวฝ่ายขายของ ‘Capcom’ ต้องการภาคต่อของ ‘Street Fighter’ จึงอยากให้ใช้ทีมงานชื่อเดิม (ตอนนั้นทีมเปลี่ยนชื่อเป็น ‘Final Fight’ แล้ว) จึงตัดสินใจโปรโมตเกม ‘Final Fight’ ในฐานะชื่อ ‘Street Fighter’ และบอกคนเล่นว่าที่ภาคต่อของ ‘Street Fighter’ เพราะมีตัวละครใน ‘Street Fighter’ ไปอยู่ในนั้น แต่สุดท้ายตัวเกมก็กลับมาใช้ชื่อ ‘Final Fight’ เพราะเสียงตอบรับจากคนในงานตอนนั้นบอกว่าตัวเกมไม่เหมือนกับ ‘Street Fighter’ ที่เคยเล่น เกมนี้จึงได้กลับมาใช้ชื่อ ‘Final Fight’ ตั้งแต่นั้นเรื่อยมา
มาต่อกันที่เกมที่สานต่อจิตวิญญาณของ ‘Street Fighter’ อย่างเกม ‘Fatal Fury King of Fighters’ เกมต่อสู้แบบ 1 ต่อ 1 ที่เปิดตัวในปี 1991 ที่นักเล่นเกมยุคนั้นรู้จัก เพราะตัวเกมนั้นแม้จะเป็นเกมต่อสู้เหมือนซีรีส์ ‘Street Fighter’ แต่ตัวเกมก็มีระบบการต่อสู้ที่ต่างกันจนเรียกว่าเป็นคู่แข่งที่สูสีกันมาก ๆ โดยเกม ‘Fatal Fury King of Fighters’ จะให้ความสำคัญกับจังหวะการโจมตีต่อสู้ ที่ต้องเคลื่อนไหวตัวละครตลอดเวลาและหาทางเขาไปอัดศัตรู มากกว่าฝั่ง ‘Street Fighter’ ที่เน้นการรุกเข้าหาต่อสู้กันแบบหมัดต่อหมัด รวมถึงการเล่าเรื่องที่ ‘Fatal Fury’ จะมีมิติมากกว่ามากฝั่ง ‘Street Fighter’ ซึ่งเกมภาคนี้ก็เป็นต้นแบบของเกม ซีรีส์ ‘The King of Fighters’ ที่เราเห็นอีกด้วย
ซึ่งสิ่งที่เป็นการยืนยันว่า ‘Fatal Fury’ คือเกมที่สืบทอดจิตวิญญาณของ ‘Street Fighter’ ก็เพราะผู้สร้างเกมนี้อย่าง ทากาชิ นิชิยามะ (Takashi Nishiyama) ได้ออกมาเปิดเผยว่า ถ้าตอนนั้นตนเองยังคงอยู่กับ ‘Capcom’ เขาคงจะสร้างภาคต่อของ ‘Street Fighter’ ให้ออกมาเป็นรูปแบบนี้ ซึ่งดูได้จากตัวละครของเกม ‘Fatal Fury’ หลายคนมีรูปร่างคล้ายกับตัวละครในเกม ‘Street Fighter 1’ ซึ่งลองคิดเล่น ๆ ว่าถ้าตอนนั้นทากาชิไม่ออกจาก ‘Capcom’ เราคงได้เห็นรูปแบบการต่อสู้ของ ‘Street Fighter ll’ เป็นแบบเกม ‘Fatal Fury’ ที่สุดท้ายแล้วตัวเกมซีรีส์หมาป่ากาโร่ที่คนไทยรู้จักก็ไปได้ไม่กี่ภาคก็หมดความนิยม ต่างกับซีรีส์ ‘Street Fighter’ ที่เล่นสนุกและได้รับความนิยมมาก ๆ ในช่วงนั้น ซึ่งแม้ตัวเกมจะมีช่วงหาย ๆ ไปบ้าง แต่ตัวเกมก็กลับมาอย่างยิ่งใหญ่ใน ‘Street Fighter lV’ ที่ตอนนั้นได้ทากาชิกลับมามีส่วนร่วมในการพัฒนาด้วย นับเป็นการฟื้นคืน ‘Street Fighter’ ได้อย่างสวยงาม และสิ่งเหล่านี้ก็จะสืบทอดไปสู่ ‘Street Fighter Vl’ ที่เราได้เห็นในอนาคตนี้ด้วย
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส